
19 July 2022
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยต่างๆ ทำให้องค์กรต้องมีการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย หนึ่งในความท้าทายในการปรับตัวขององค์กรคือการเตรียมพร้อมบุคลากรให้สามารถรองรับและพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น การ Upskill / Reskill พนักงานกลายเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ที่เปรียบเสมือนทางเลือกสุดท้ายที่จะทำให้บุคลากรขององค์กรได้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
การ Upskill / Reskill เป็นเพียงแค่ทางออกหนึ่งในการเตรียมความพร้อมพนักงานต่อโลกของการเปลี่ยนแปลง ยังมีเครื่องมือและแนวทางอีกหลายประการที่องค์กรสามารถเลือกที่จะนำมาใช้ได้ อย่างไรก็ดีพบว่าการ Upskill / Reskill รวมทั้งการเตรียมความพร้อมของพนักงานต่อการเปลี่ยนแปลงในด้านอื่นๆ ยังไม่ประสบความสำเร็จตามที่ผู้บริหารคาดหวังไว้ นั้นเนื่องมาจากการเตรียมความพร้อมบุคลากรสำหรับการเปลี่ยนแปลงขององค์กรนั้นมักจะทำในลักษณะของ One size fit all หรือตัดเสื้อขนาดเดียวและหวังว่าทุกคนในองค์กรจะใส่ได้หมด
การมองว่าพนักงานทุกคน มีทักษะ ความต้องการ รูปแบบ หรือ พฤติกรรม ที่เหมือนกันหมด นำไปสู่กลยุทธ์ในการบริหารคนขององค์กรจำนวนมากจะเป็นรูปแบบเดียวและใช้กับพนักงานทุกคน ทำให้ไม่สามารถตอบสนองต่อพนักงานแต่ละกลุ่มแต่ละพวกได้อย่างแท้จริง และสุดท้ายความตั้งใจที่จะพัฒนาและเตรียมความพร้อมพนักงานสำหรับโลกของการเปลี่ยนแปลงก็ไม่เกิดผลที่แท้จริง
การทำ Employee Segmentation (บางแห่งเรียกว่า Workforce Segmentation) เป็นสิ่งที่หลายๆ องค์กรได้นำมาปฏิบัติ เพื่อแบ่งกลุ่มพนักงานตามเกณฑ์ต่างๆ ที่จะกำหนดขึ้น และมีกลยุทธ์หรือแนวปฏิบัติสำหรับพนักงานในแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกัน หลักการนี้ก็คล้ายๆ กับที่นักการตลาดทำ Customer Segmentation ที่แบ่งลูกค้าเป็นกลุ่มตามเกณฑ์ต่างๆ เพื่อความชัดเจนว่าจะมุ่งจับลูกค้ากลุ่มไหนและคิดกลยุทธ์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ากลุ่มนั้นๆ
หลายองค์กรได้นำ Employee Segmentation มาใช้อยู่นานแล้ว แต่จำนวนไม่น้อยที่จะแบ่งพนักงานตามเกณฑ์พื้นฐานทั่วๆ ไป เช่น นำช่วงอายุ หรือ Generations ต่างๆ มาใช้แบ่งพนักงาน หรือ ใช้เพศ หรือ ระดับการศึกษา หรือ ตำแหน่งงาน หรือ สายงานการทำงาน เป็นต้น อย่างไรก็ดีการแบ่งพนักงานโดยใช้เกณฑ์ต่างๆ ข้างต้นก็ยังมีข้อจำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่พนักงานจำเป็นต้องได้รับการ Upskill / Reskill เพื่อให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้เนื่องจาก ช่วงอายุ เพศ การศึกษา ตำแหน่งงาน หรือ สายงาน ไม่ได้เป็นสิ่งที่พยากรณ์ถึงทักษะหรือความสามารถของพนักงานที่จะช่วยองค์กรให้พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
ปัจจุบันเริ่มพบว่าองค์กรจำนวนไม่น้อยที่เริ่มนำเอาเรื่องของทักษะ หรือ Skills มาเป็นเกณฑ์ในการแบ่งกลุ่มพนักงาน แนวทางที่พบเห็นบ่อยสุดคือการเลือกเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับทักษะมาสองประการและทำเป็นตาราง 2×2 เพื่อให้ได้พนักงานออกมาเป็นสี่กลุ่ม จากนั้นก็สามารถเลือกที่จะจัดชื่อคนหรือตำแหน่งงานเข้าไปภายใต้แต่ละกลุ่ม โดยเกณฑ์สองประการที่นิยมใช้กันก็มีตั้งแต่ ความสำคัญของทักษะที่มี (Skills Value) หรือ ความพิเศษของทักษะ (Skills Uniqueness) หรือ การมีทักษะที่หลากหลาย หรือ ทักษะที่มีความสำคัญต่อธุรกิจ เป็นต้น ซึ่งการจะเลือกใช้เกณฑ์ใดนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับทิศทาง กลยุทธ์ และความต้องการของแต่ละองค์กรเป็นหลัก
เมื่อจัดกลุ่มพนักงานตามทักษะได้แล้ว จากนั้นผู้บริหารก็ย่อมสามารถที่จะกำหนดกลยุทธ์หรือแนวทางในการบริหารคนที่เหมาะสมสำหรับพนักงานแต่ละกลุ่ม โดยการจัดกลุ่มตามทักษะ แทนที่จะเป็นรูปแบบเดิมๆ นั้นก็จะช่วยทำให้ผู้บริหารได้เห็นภาพที่ชัดเจนถึงความพร้อมของพนักงานในด้านของทักษะ ความสามารถที่จะต้องมี เพื่อจะรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ
ข้อดีของการทำ Employee Segmentation ในยุคที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มจะไม่ดีนั้นคือ ทั้งเพื่อช่วยให้กลยุทธ์ด้านคนขององค์กรตรงกลุ่มเป้าหมายและสอดคล้องต่อทิศทางขององค์กรมากขึ้น พร้อมกันนั้นก็ทำให้การบริหารคนภายในองค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลได้มากขึ้น