10 September 2006
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมนำเสนอบรรดาผลงานวิจัย และข้อน่าสังเกตต่างๆ เกี่ยวกับการโกหก มาในสัปดาห์นี้เราลองมาดูข้อสังเกตในการจับโกหกกันนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสังเกตทางด้านอวัจนะภาษาหรือภาษากาย ซึ่งเนื้อหาทั้งในสัปดาห์ที่แล้วและสัปดาห์นี้ผมนำมาจากหนังสือชื่อ The Definitive Book of Body Language เขียนโดย Allan และ Barbara Pease นะครับ หาซื้อได้จากศูนย์หนังสือจุฬาและเอเซียบุคส์ครับ
เริ่มเข้าเนื้อหาเลยนะครับ ในหนังสือเล่มดังกล่าวเขาได้แนะนำเลยครับว่ามีปฏิกริยาอยู่หลายๆ ประการที่คนมักจะแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อโกหกครับ ประการแรกได้แก่ การเอามือปิดปาก ซึ่งเป็นปฏิกริยาที่เกิดขึ้นโดยเราไม่รู้ตัว และเหมือนกับเป็นจิตใต้สำนึกที่มักจะบอกให้เราปิดบังในสิ่งที่เราโกหกออกไป ซึ่งการเอามือปิดปากนั้นอาจจะเป็นในหลายรูปแบบครับ เช่น ทั้งมือ หรือ บางนิ้ว หรือ แม้กระทั่งการไอและเอามือปิดปาก บางครั้งการนำมือขึ้นมาปิดปาก ก็อาจจะหมายถึงการที่ผู้พูดกำลังปิดบังบางอย่างจากผู้ฟังก็ได้ครับ
ประการที่สองคือการนำมือแตะจมูก โดยอาจจะเป็นการเอามือมาถูหรือแตะที่จมูกอย่างรวดเร็ว ซึ่งที่มาที่ไปของการแตะหรือถูจมูกนั้นมีที่มาที่ไปน่าสนใจครับ นั้นคือมีงานวิจัย จาก Smell and Taste Treatment and Research Foundation ที่พบว่าเมื่อเราโกหกนั้นจะมีสารเคมีชนิดหนึ่งชื่อ Catecholamines หลังออกมา ทำให้ผนังหรือเนื้อเยื่อภายในจมูกมีอาการพองขึ้น ทำให้เกิดอาการระคายเคือง นอกจากนี้ยังพบอีกนะครับ ว่าเมื่อคนเราโกหกโดยเจตนาแล้ว จะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และส่งผลให้จมูกของเราพองขึ้นด้วยแรงดันโลหิต และทำให้รู้สึกระคายเคือง ดังนั้นการแตะหรือถูจมูก จึงเป็นสิ่งที่เรามักจะทำเพื่อลดอาการดังกล่าว
อ่านๆ ดูแล้วก็เหมือนกับ Pinocchio นะครับ ที่ยิ่งโกหก จมูกจะยิ่งโตและยาวขึ้น เพียงแต่ในความเป็นจริงแล้ว เราจะไม่สามารถเห็นปฏิกริยาต่างๆ ข้างต้นได้ด้วยตาเปล่านะครับ ยกเว้นการเอามือขึ้นมาแตะหรือถูจมูก อย่างไรก็ดี ไม่ใช่แต่การโกหกอย่างเดียวนะครับ ที่นำไปสู่การคันหรือเคืองจมูก อาการโกรธ ตื่นเต้น หรือ อารมณ์เสีย ก็สามารถนำไปสู่การระคายเคืองจมูกได้เหมือนกันครับ ดังนั้นเวลาเห็นใครเอามือแตะหรือถูจมูกก็ต้องสังเกตบริบทด้วยนะครับ
มีเรื่องเล่าด้วยครับว่าตอนที่อดีตประธานาธิบดี Bill Clinton ให้การต่อคณะลูกขุนเรื่องของ Monica Lewinsky นั้น ได้มีนักประสาทวิทยา ศึกษาปฏิกริยาของ Clinton อย่างละเอียด และพบช่วงที่เขาโกหกนั้นจะมีการแตะจมูกทุกๆ สี่นาที และสรุปแล้วแตะจมูกทั้งหมด 26 ครั้งครับ
ประการที่สามคือการถูตา ซึ่งวิเคราะห์กันมาแล้วว่าเป็นปฏิกริยาที่ผู้พูดใช้เพื่อไม่ต้องมองหน้าหรือสบตาผู้ที่เรากำลังโกหกอยู่ บางคนอาจจะไม่ใช้มือถูตา แต่จะเสมองไปทางอื่นแทนครับ ประการที่สี่ คือ การดึงปกคอเสื้อครับ มีงานวิจัยที่ค้นพบว่า นอกเหนือจากการระคายเคืองบริเวณจมูกแล้ว บริเวณลำคอก็เป็นอีกจุดหนึ่งครับที่มีการระคายเคืองเมื่อเราโกหก เนื่องจากความดันโลหิตที่สูงขึ้น เมื่อเราโกหก ทำให้เกิดเหงื่อออกบริเวณลำคอ ดังนั้นการดึงบริเวณปกคอเสื้อจึงเป็นปฏิกริยาหนึ่งที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อเราโกหก
ประการที่ห้า คือการดึงหรือจับใบหูครับ แต่มักจะเป็นปฏิกริยาที่เกิดขึ้นเมื่อเราได้ยินบางอย่างที่เราไม่เชื่อ หรือ ไม่เห็นด้วย หรือ ไม่อยากฟัง แต่เราไม่สามารถพูดออกไปได้ตรงๆ ดังนั้นถ้าท่านผู้อ่านกำลังสนทนาอยู่กับผู้ใด และเขาแสดงปฏิกริยาดังกล่าว แต่ปากกลับแสดงอาการเห็นด้วยกับสิ่งที่เราพูดนั้น ก็อาจจะตั้งข้อสงสัยได้ครับว่าผู้ฟังนั้นเห็นด้วยหรือเชื่อในสิ่งที่เรากำลังพูดหรือไม่ นอกจากนี้การจับใบหูก็ยังมีความหมายอย่างอื่นด้วยนะครับ บางคนอาจจะใช้ปฏิกริยาจับหูเมื่อคิดว่าตนเองฟังมาจนพอแล้ว และต้องการที่จะพูดบ้าง แต่ในบางประเทศนั้นการจับหรือดึงใบหูก็เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นเพศที่สามครับ (ดังนั้นระวังไว้หน่อยนะครับ)
เป็นไงบ้างครับ พอจะเป็นแนวทางเล็กๆ น้อยๆ ให้ท่านผู้อ่านในการจับโกหกบ้างได้นะครับ ทีนี้ในการจับโกหกนั้น ยังพบอีกครับว่าถ้าเปรียบเทียบระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย แล้วเราจะพบว่าผู้หญิงจะจับโกหกผู้อื่นได้ดีกว่าผู้ชายครับ เนื่องจากในการสนทนากันนั้นภาษากายคิดเป็น 60-80% ของข้อความที่ส่งออกมา และผู้หญิงจะเป็นเพศที่มีความละเอียดอ่อนกว่าเพศชาย และสามารถจับสัญญาณต่างๆ ได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งความแตกต่างระหว่างคำพูดที่พูดออกมา กับภาษากายที่แสดงออก ได้ดีกว่า ดังนั้นถ้าผู้หญิงจะโกหกหรือหลอกผู้ชาย จึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าผู้ชายคิดจะโกหกผู้หญิงแล้ววิธีที่ดีที่สุดคือทางโทรศัพท์ครับ อย่าให้เธอเห็นภาษากายของเรา
เนื้อหาในสองสัปดาห์นี้ไม่ได้สนับสนุนให้โกหกนะครับ เพียงแต่เป็นการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการโกหก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างการโกหกกับภาษากายที่แสดงออกมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าถ้าใครถูจมูก หรือ ปิดปาก หรือ ดึงคอเสื้อ จะหมายความว่าบุคคลผู้นั้นกำลังโกหกเสมอไปนะครับ จะต้องดูบริบทและสภาวะแวดล้อมในขณะนั้นประกอบด้วย เช่น เขาอาจจะกำลังเป็นหวัด เป็นต้น