
25 November 2025
ท่านผู้อ่านเคยเหนื่อยหรือหมดแรงจากการประชุมไหมครับ? จะสังเกตว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา (โดยเฉพาะหลังโควิด) การประชุมจะมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการประชุมแบบออนไลน์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการทำงานด้วย นอกจากจำนวนครั้งของการประชุมจะมากขึ้นแล้ว ความไม่มีประสิทธิภาพของการประชุมก็จะพบเห็นมากขึ้นด้วย ซึ่งทั้งการประชุมที่มากขึ้นและไร้ประสิทธิภาพก็สามารถส่งผลต่อทั้งสุขภาพกายและใจของคนทำงานได้
ได้ไปสำรวจงานวิจัยเกี่ยวกับการประชุมในรอบ 5 ปีมาและมีตัวเลขที่น่าสนใจเกี่ยวกับการประชุมหลายอย่าง อาทิเช่น ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเวลาที่ใช้ในการประชุมเพิ่มขึ้น 8-10% ต่อปี หรือ จำนวนชั่วโมงในการประชุมเพิ่มขึ้นจาก 14.2 ชั่วโมงเป็น 21.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือ ประมาณ 66% ของคนทำงานทั่วโลก ระบุว่ามีปัญหาในการทำงานหลักที่ต้องทำจริงๆ เนื่องจากการประชุมที่มาก หรือ 76% ของพนักงานรู้สึกหมดพลังงานในวันที่มีการประชุมติดๆ กัน และ 91% ของพนักงานยอมรับว่าสมาธิหลุดและใจลอยระหว่างการประชุม
พบว่านอกจากผลกระทบต่อการทำงานแล้ว การประชุมที่มากและไม่มีประสิทธิภาพ ก็ส่งผลต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตได้เช่นกัน การประชุมที่มาก ทำให้พนักงานไม่สามารถทำงานหลักที่ต้องทำได้และต้องอยู่เลยเวลาการทำงานปกติ เพื่อทำงานหลักให้เสร็จ เนื่องจากเวลาในการทำงานจริงๆ หมดไปกับการประชุม จำนวนชั่วโมงในการทำงานที่นานขึ้นย่อมส่งผลต่อทั้งสภาพจิตใจและกระทบต่อชีวิตส่วนตัวของพนักงาน และสุดท้ายอาจจะนำไปสู่ความเหน็ดเหนื่อย หมดแรง และหมดไฟ
นอกจากนี้การประชุมอาจจะนำไปสู่อารมณ์ในด้านลบของผู้เข้าประชุม ทั้งความหงุดหงิด ความเบื่อ ความกระวนกระวาย การต้องทนนั่งอยู่ในการประชุมที่ทั้งน่าเบื่อและไร้ประสิทธิภาพสามารถส่งผลต่อสภาพจิตใจของผู้เข้าร่วมประชุมได้ การที่มีคนนั่งฝันกลางวันหรือจิตใจล่องลอยระหว่างการประชุมเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าผู้เข้าร่วมประชุมรู้สึกว่าการประชุมดังกล่าวไม่น่าสนใจ ยังไม่นับรวมสุขภาพกายที่ไม่ดีจากการนั่งนานๆ โดยไม่ได้ลุกขึ้นเปลี่ยนอริยบถ
คำถามถัดมาคือ ทำไมการประชุมถึงยังคงมีมากและมีแนวโน้มมากขึ้น สาเหตุแรก คือ FOMO หรือ Fear of Missing Out คนจะมีกังวลว่าถ้าไม่เข้าร่วมประชุมแล้ว จะพลาดข้อมูลหรือการตัดสินใจที่สำคัญ เข้าประชุมเพราะอยากทราบเรื่องราวหรือความคืบหน้าต่างๆ นอกจากนี้อาจจะกังวลว่าถ้าไม่เข้าประชุมแล้ว เจ้านายและเพื่อนร่วมงานจะหาว่าไม่ทุ่มเทให้กับงาน เนื่องจากค่านิยมในการทำงาน การเข้าร่วมประชุมจึงเป็นเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นว่าคนที่ให้ความสำคัญกับทีม ทำให้คนจำต้องเข้าร่วมการประชุมที่อาจจะเสียเวลาหรือไม่มีความจำเป็น
ประการที่สองคือ ความกดดันทางสังคม ว่าถ้าไม่เข้าร่วมประชุมแล้ว จะถูกคนอื่นมองในแง่ลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่ามักจะมองว่าตนเองไม่สามารถปฏิเสธการเข้าร่วมประชุมได้ เพราะดูจะผิดมารยาทในการทำงานอย่างร้ายแรง อย่างไรก็ดี เริ่มมีอีกมุมมองที่มองว่า จริงๆ แล้วถ้าการประชุมไม่มีประโยชน์ต่อตัวพนักงาน หรือ พนักงานไม่สามารถสร้างคุณค่าหรือมีประโยชน์ต่อที่ประชุม พนักงานก็ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมประชุมได้
ประการที่สาม คือปรากฎการณ์ที่เรียกว่า Selfish Urgency ของผู้เรียกหรือนัดการประชุม หมายถึงเมื่อผู้นำหรือผู้นัดประชุม นัดประชุมเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตนเอง และเป็นไปตามเวลาที่ตนเองสะดวก โดยไม่สนใจว่าการนัดประชุมดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อตารางงานหรือความสะดวกของผู้อื่นหรือไม่ หรือ ก่อให้เกิดค่าสูญเสียโอกาสทางธุรกิจไปเท่าใด ที่จะพบกันบ่อยๆ คือเมื่อเจ้านายอยากจะรู้เรื่องอะไรขึ้น ก็จะนัดประชุมด่วน ส่งผลให้ความอยากรู้ของตนเองกลายเป็นภาระและปัญหาของผู้เข้าร่วมประชุมอื่นทันที ทั้งการต้องไปปรับตารางงานใหม่หรือทิ้งงานที่กำลังทำอยู่เพื่อเข้าประชุมกับเจ้านาย ทั้งๆ ที่อาจจะมีวิธีการอื่นในการตอบสนองต่อความอยากรู้ของเจ้านายและความอยากรู้ดังกล่าวไม่ได้สำคัญและเร่งด่วน
ในการทำงานนั้น การประชุมร่วมกันเป็นสิ่งที่ดีและจำเป็นต่อการทำงาน อย่างไรก็ดีต้องตระหนักด้วยว่าถ้าประชุมที่มากเกินไปหรือการประชุมที่ไร้ประสิทธิภาพ แทนที่จะเป็นสิ่งที่ดี อาจจะส่งผลเสียต่อทั้งผู้นำ องค์กร และพนักงานได้เช่นเดียวกัน จึงไม่แปลกใจว่าทำไมถึงมีวลีที่ว่า ‘Death by Meetings’ เกิดขึ้น
