
21 October 2025
ช่วงใกล้สิ้นปีเช่นนี้มักจะพบว่าผู้คนในสังคมออนไลน์จะเริ่มใช้เวลากับการท่องเที่ยวมากขึ้น ขณะที่ทางรัฐบาลก็ออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวขึ้นมา นำไปสู่ข้อสงสัยว่าการท่องเที่ยวนั้นนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นำไปสู่ความสุขที่เพิ่มขึ้นจริงหรือไม่ หรือ จริงๆ แล้วการท่องเที่ยวจะนำไปสู่ความเครียดและความเหนื่อยล้า และสุดท้ายแล้วระยะเวลาในการท่องเที่ยวที่เหมาะสมควรจะอยู่ที่เท่าใด?
ได้ไปลองค้นงานวิจัยต่างๆ ที่จัดทำกันในต่างประเทศเพื่อตอบทั้งสามคำถามข้างต้น และพบว่าการท่องเที่ยวมีความสัมพันธ์กับความสุขในชีวิตของคนจริงๆ อีกทั้งมีความสัมพันธ์ในหลายมิติด้วย เริ่มจากข้อดีของการท่องเที่ยว ถ้าแบ่งการท่องเที่ยวเป็นสามระยะ การเตรียมตัว การเที่ยวจริง และภายหลังการเที่ยว โดยระยะการเตรียมตัวนั้น มีการศึกษามากมายที่ชี้ให้เห็นว่าเพียงแค่คิดและวางแผนจะไปเที่ยวก็สามารถช่วยเพิ่มความสุขได้แล้ว การวางแผนและคาดหวังไว้เรื่องการเที่ยวจะนำไปสู่ความสนุกสนาน ความตื่นเต้น และการเฝ้ารอต่ออนาคต
ส่วนการเที่ยวจริงนั้นก็พบว่าการได้พบเจอประสบการณ์ใหม่ๆ ก็ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้นและผ่อนคลายความเครียดจากชีวิตประจำวันไปได้ การท่องเที่ยวทำให้คนได้นำตัวเองออกจากงานและเรื่องยุ่งๆ ในชีวิตประจำวัน ทำให้ผ่อนคลาย ช่วยเติมพลังงาน และเพลิดเพลินกับประสบการณ์ใหม่ๆ นอกจากนี้ยังพบว่าการท่องเที่ยวยังช่วยเติมเต็มความต้องการความพื้นฐานของแต่ละคน เช่น การท่องเที่ยวทำให้ได้ค้นพบและแสวงหาสิ่งใหม่ๆ หรือ ทำให้ได้บรรลุเช็คลิสต์ของสถานที่ที่จะต้องไปให้ถึง หรือ ทำให้ได้พบเพื่อนและสร้างสังคมใหม่ๆ หรือ ทำให้ได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวและเพื่อนๆ มากขึ้น เป็นต้น
เมื่อการท่องเที่ยวสิ้นสุดลง คนส่วนใหญ่จะกลับสู่ชีวิตประจำวันพร้อมกับความทรงจำใหม่ๆ ที่มีเพิ่มขึ้น พบว่าภายหลังการท่องเที่ยวนั้นความสุขจะเพิ่มขึ้นในระยะสั้น (เป็นวันหรือสัปดาห์) หลังจากนั้นระดับความสุขที่เพิ่มขึ้นก็จะลดลงกลับสู่ระดับปกติเมื่อต้องกลับมาเจอกับงานและชีวิตประจำ ดังนั้นเมื่อเทียบทั้งสามระยะของการท่องเที่ยวแล้ว ความสุขที่เกิดขึ้นระหว่างการวางแผนเตรียมตัวท่องเที่ยว และระหว่างการท่องเที่ยวที่ได้พบเจอประสบการณ์ใหม่ จะสูงกว่าความสุขที่เกิดขึ้นภายหลังจากการท่องเที่ยว ที่จะลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อกลับเข้าสู่ชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ดีก็ยังมีคุณค่าที่จับต้องไม่ได้ที่นักท่องเที่ยวได้รับและติดตัวไปตลอดไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ที่หลากหลายขึ้น มุมมองที่กว้างขึ้น รวมทั้งความทรงจำและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่เกิดขึ้น
สำหรับข้อเสียของการท่องเที่ยวนั้นหลักๆ คือเรื่องของความเครียดและความเหนื่อยล้า ทั้งจากการเดินทาง การพบเจอสิ่งใหม่ๆ หรือ ตารางท่องเที่ยวที่อัดแน่นจนเกินไป มีงานวิจัยที่พบว่า ‘Travel Fatigue’ หรือความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวอาจจะทำให้ความสุขลดลงได้ อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้การท่องเที่ยวไม่นำไปสู่ความสุขตามที่คิดได้คือ เมื่อสิ่งที่หวังไว้กับสิ่งที่เป็นจริงไม่สอดคล้องกัน ก่อนเดินทางทุกคนก็หวังไว้ว่าจะพบสิ่งที่ดีๆ ได้รับประสบการณ์ดีๆ แต่เมื่อเที่ยวจริงๆ สิ่งที่ได้พบเจอหรือได้รับอาจจะไม่เป็นไปตามที่หวัง เช่น เกิดอุบัติเหตุ การเดินทางที่ล่าช้า สถานที่ท่องเที่ยวไม่สวยงามตามภาพ นักท่องเที่ยวที่มากมายทำให้ต้องรอคิวนาน ฯลฯ ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ล้วนแต่นำไปสู่ความผิดหวังจากการท่องเที่ยว
คำถามสุดท้ายคือระยะเวลาท่องเที่ยวที่เหมาะสมที่สุดควรจะเป็นเท่าใด? ซึ่งจากงานวิจัยต่างๆ ก็พบว่าเวลาที่ดีที่สุดควรจะยาวนานพอที่จะทำให้คนได้ผ่อนคลายอย่างเต็มที่แต่ก็ไม่นานเกินไปจนทำให้ประสบการณ์ใหม่ๆ ไม่น่าสนใจอีกต่อไป ซึ่งพบว่าความรู้สึกผ่อนคลายและความสุขจากการท่องเที่ยวนั้นจะค่อยๆ เพิ่มไปเรื่อยๆ และถึงจุดสูงสุดในวันที่ 8 ของการท่องเที่ยว หลังจากนั้นก็จะคงที่หรือค่อยๆ ลดลง ทำให้ระยะเวลา 8 วันอาจจะเหมาะสมที่สุดสำหรับคนทั่วไปที่จะได้ผ่อนคลาย สนุกกับประสบการณ์ใหม่ๆ แต่ก็ยังไม่ยาวเกินไปที่จะเริ่มคิดถึงบ้านหรือเริ่มเบื่อกับการเดินทาง
สำหรับเรื่องของความถี่ในการท่องเที่ยวนั้น พบว่าการได้มีโอกาสเที่ยวบ่อยๆ จะดีกว่าเที่ยวใหญ่ปีละครั้ง ถ้าสามารถแบ่งการท่องเที่ยวให้กระจายออกไปได้ทั้งปี ก็จะทำให้ระดับความสุขเพิ่มขึ้นปีละหลายๆ ครั้ง มีงานวิจัยที่ชี้ว่าผู้ที่ได้ท่องเที่ยวบ่อยจะมีความสุขมากกว่าผู้ที่ไม่ค่อยได้เที่ยว
จะพบว่าการท่องเที่ยวนั้นมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย ขณะเดียวกันข้อเสียที่เกิดขึ้น ก็สามารถที่จะก้าวข้ามได้ ด้วยการเตรียมพร้อม เตรียมตัว เตรียมใจ และทำตัวให้ยืดหยุ่น ซึ่งการท่องเที่ยวที่พบจากงานศึกษาต่างๆ นั้น ไม่จำเป็นต้องเดินทางไกลหรือไปต่างประเทศ เพียงแค่เดินทางออกจากบ้านและได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ ก็นับเป็นการท่องเที่ยวได้แล้ว
