30 September 2025

ลองนึกภาพคุกกี้ดำไส้ขาวอย่าง Oreo มารวมกับขนมถ้วยเนยถั่วเคลือบช็อกโกแลตอย่าง Reese’s Peanut Butter Cup ผลลัพธ์ไม่ใช่แค่การเพิ่มรสชาติใหม่ แต่เป็นการสร้างปรากฏการณ์ที่ทำให้ทั้งโซเชียลมีเดีย สื่อ และแฟนขนมทั่วโลกพูดถึงพร้อมกัน

การร่วมมือของ Oreo และ Reese’s ในปี 2025 ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจมาก เพราะสะท้อนให้เห็นว่า การฟังเสียงผู้บริโภค การกล้าร่วมมือ การตลาดดิจิทัล สามารถร่วมกันพัฒนาสินค้าในฝัน ให้เกิดขึ้นได้จริง และยังเป็นบทเรียนที่น่าคิดสำหรับองค์กรอื่นๆ

Oreo เกิดขึ้นในปี 1912 ปัจจุบันอยู่ภายใต้บริษัท Mondelēz International เป็นขนมที่ขายดีที่สุดในโลก มีรสชาติและรูปแบบหลากหลาย และขายในกว่า 100 ประเทศ ส่วน Reese’s ก่อตั้งในปี 1928 โดย Harry Burnett Reese ก่อนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของ The Hershey Company จุดเด่นของ Reese’s คือการผสมผสานระหว่างเนยถั่วกับช็อกโกแลต จนกลายเป็นหนึ่งในขนมที่ขายดีในอเมริกา

ปัจจัยที่ทำให้ Oreo และ Reese’s มาร่วมมือกัน ไม่ได้มาจากการคิดจากห้องประชุม แต่มาจากแฟนๆ บอกให้ทำ ผู้บริโภคในสังคมออนไลน์ทดลองจับคู่ Oreo กับ Reese’s เองมานาน ไม่ว่าจะเอา Oreo มาประกบเนยถั่ว Reese’s หรือเอาถ้วย Reese’s มารวมกับคุกกี้ Oreo จนเกิดเป็นคอนเทนต์ไวรัล 

เมื่อผู้บริโภคได้เรียกร้องกันอย่างมากมาย ทั้งสองบริษัทจึงเลือกตอบสนอง ด้วยการออกแคมเปญว่า “You asked for it” ความร่วมมือนี้เริ่มจากการพัฒนาสูตรจริงจังกว่า 3 ปีที่ทีม R&D ของทั้งสองบริษัทต้องทำงานร่วมกัน ทดลองสูตรใหม่หลายครั้ง แลกเปลี่ยนสูตรลับ รวมถึงเซ็นสัญญาลิขสิทธิ์เพื่อปกป้องความลับของแต่ละฝ่าย

สินค้าที่ออกมามี 2 ตัวหลัก ได้แก่ 1. Reese’s Oreo Cup ถ้วยเนยถั่ว Reese’s แบบเดิม แต่ผสมเศษคุกกี้ลงไปในไส้ ด้านบนเคลือบด้วย Oreo White Creme และ 2. Oreo Reese’s Cookie คุกกี้ Oreo ที่เปลี่ยนไส้กลางเป็นครีมเนยถั่ว Reese’s ผสมชิ้นคุกกี้ Oreo ได้ทั้งรสของโอรีโอและรสของ Reese’s ทันทีที่เปิดตัวผลตอบรับในอเมริกาออกมาดีมากร้านค้าหลายแห่งสินค้าหมดเร็ว ผลจากรีวิวต่างๆ ออกมาในเชิงบวก และได้รับคำชื่นชมไปทั่วสิ่งที่สามารถเรียนรู้จากเคสนี้ไม่ใช่แค่การผสมผสานระหว่างสองรสชาติที่เป็นที่รู้จัก แต่ยังบทเรียนและข้อคิดทางธุรกิจจากการร่วมมือระหว่างสองยักษ์ใหญ่

1. ฟังเสียงผู้บริโภคอย่างจริงจัง การร่วมมือครั้งนี้พิสูจน์ว่าแรงบันดาลใจจากลูกค้า มีค่ามากกว่าการวางกลยุทธ์อยู่ในห้องประชุม ผู้บริโภคคือผู้สร้างสรรค์สูตรผสม Oreo กับ Reese’s จนกลายเป็นไวรัล การฟังเสียงลูกค้าจึงไม่ใช่แค่การเก็บข้อมูลแต่เป็นการจับสัญญาณนวัตกรรมจากผู้ใช้จริง การติดตามและเฝ้าดู User-Generated Content) อย่างเป็นระบบ คือแหล่งข้อมูลชั้นยอดที่จะช่วยในการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ได้ตรงใจลูกค้ามากขึ้น

2. การร่วมมือระหว่างบริษัท สามารถขยายพลังแบรนด์ได้จริง Oreo ได้เชื่อมต่อกับกลุ่ม Gen Z ที่นิยม Reese’s ขณะที่ Reese’s ได้ความสดใหม่จาก Oreo ผลลัพธ์คือการยืมพลังแฟนคลับซึ่งกันและกัน 

3. ต้องรักษาอัตลักษณ์ของแบรนด์ สิ่งที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกพอใจคือการที่รสชาติแท้จริง ของทั้งสองแบรนด์ยังอยู่ครบ การรักษาตัวตนของแบรนด์สำคัญพอๆ กับการสร้างความแปลกใหม่

4. ความซับซ้อนเบื้องหลังที่ต้องยอมลงทุน กว่าที่สินค้านี้จะวางจำหน่าย ต้องใช้เวลาถึง 3 ปี ในการร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาสินค้า

5. การตลาดดิจิทัลมีความสำคัญ แคมเปญการตลาดเริ่มจากใช้สื่อหลักทางโลกสังคมออนไลน์ เนื้อหาการตลาดทั้งหมดพูดกับผู้บริโภคด้วยภาษาของแฟนๆ เอง ได้แก่ “You asked for it” ที่ย้ำว่าแบรนด์ตอบสนองต่อสิ่งที่ลูกค้าต้องการจริง

ความร่วมมือของ Oreo และ Reese’s เป็นมากกว่าการออกสินค้าขนมใหม่ แต่คือ กรณีศึกษาด้านกลยุทธ์และนวัตกรรม ที่ให้ข้อคิดตั้งแต่ การฟังเสียงผู้บริโภค การจับมือข้ามแบรนด์ การรักษาอัตลักษณ์ ไปจนถึงการตลาดดิจิทัล