
16 September 2025
เมื่อ AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน คนก็จะใช้ AI ในชีวิตประจำวันมากขึ้นเรื่อยๆ (โดยเฉพาะ Gen AI) ซึ่งก็นำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพ ช่วยหาข้อมูล ช่วยคิด ช่วยตัดสินใจ ในเรื่องราวต่างๆ ได้ดีขึ้น แต่หนึ่งในประเด็นที่ต้องตระหนักคือการใช้ AI รวมทั้งเทคโนโลยีมากขึ้น จะทำให้คนฝากการทำงานต่างๆ ของสมองโดยเฉพาะการจำ การคิด และการตัดสินใจไว้กับ AI และเทคโนโลยีมากขึ้น ซึ่งนานๆ ไปก็สามารถส่งผลต่อความสามารถในการทำงานของสมองได้
การที่คนมีพฤติกรรมที่จะฝากงานที่ในอดีตใช้สมองในการจำ คิดและตัดสินใจ ไปให้ AI หรือเทคโนโลยีอื่นทำแทน เรียกว่า Cognitive Off-Loading ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆ กับในอดีตเมื่อ Google เป็นที่นิยมใหม่ๆ นักจิตวิทยาจะเรียกปรากฎการณ์ที่คนฝากสิ่งที่ต้องจำและคิดไว้กับเทคโนโลยี โดยเชื่อว่าจะสามารถไปค้นหาข้อมูลดังกล่าวได้ภายหลังว่า Google Effect
มีการสำรวจโดย Kaspersky Lab ที่พบว่า 71% ของผู้ปกครอง จำเบอร์โทรศัพท์ลูกตัวเองไม่ได้ หากไม่เปิดดูที่บันทึกไว้ และ 53% ของคนอายุ 16–24 ปี บอกว่าสมาร์ทโฟนสามารถเก็บแทบทุกอย่างที่พวกเขาจำเป็นต้องรู้ ยังมีงานวิชาการที่ชี้ให้เห็นว่าการพึ่งพา AI และอุปกรณ์ดิจิทัลมากเกินไป อาจทำให้ความจำและการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) ถดถอย โดยมีงานวิจัยในปี 2024 ที่สำรวจผู้เข้าร่วม 666 คน ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง การใช้เครื่องมือ AI กับความถี่ของการ Cognitive Off-Loading และทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
พบว่าการใช้ AI มากขึ้น มีความสัมพันธ์ในเชิงบวกกับการ Off-Loading มากขึ้น และมีความสัมพันธ์ในเชิงลบกับทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ สรุปได้ว่าผู้ที่ใช้ AI มากๆ ไม่ได้เพียงแค่ฝากการจำ คิด และตัดสินใจ ออกไปที่ AI เท่านั้น แต่ยังทำให้ความสามารถในการคิด วิเคราะห์ และสังเคราะห์ลดลงไปด้วย
มีงานวิจัยเพิ่มเติมว่าถ้าคนเชื่อว่าข้อมูลจะถูกลบ คนจะจดจำข้อมูลได้ดีกว่า (เมื่อเทียบกับเมื่อเชื่อว่าข้อมูลจะถูกบันทึกไว้) มีงานทดลองอีกชิ้นที่พบว่า การถ่ายรูปวัตถุและงานชิ้นต่างๆ ในพิพิธภัณฑ์ จะทำให้คนจำรายละเอียดของงานดังกล่าวได้น้อยลง แสดงว่าการใช้ถ่ายรูปเพื่อเป็นหน่วยความจำภายนอก จะทำให้ความจำจริงแย่ลง
อย่างไรก็ดีไม่ได้หมายความว่าควรใช้ AI และเทคโนโลยีน้อยลง เพียงแต่ต้องสร้างสมดุลในการฝึกและพัฒนาการทำงานของสมองด้วยวิธีการอื่นๆ เพื่อให้ชดเชยความสามารถที่อาจจะลดลงเนื่องจากใช้เทคโนโลยี ซึ่งก็มีงานศึกษาที่พบว่าพฤติกรรมบางอย่างถ้าทำแล้ว จะสามารถช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงานของสมองได้ โดยพฤติกรรมเหล่านั้นประกอบด้วย
1) เรียนภาษาใหม่ จะช่วยทำให้ความจำดีขึ้น และเสริมทักษะการสื่อสารและความคิดสร้างสรรค์
2) อ่านหนังสือสม่ำเสมอ จะช่วยกระตุ้นสมองทั้งการสร้างคำศัพท์ การจินตนาการ และความเห็นอกเห็นใจ โดยเฉพาะการอ่านแบบที่คิดทบทวน จดโน้ต และพูดคุยอภิปรายในเรื่องราวที่อ่านไปด้วย
3) การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ช่วยสมองในเรื่องเกี่ยวข้องกับความจำและการคิด
4) เล่นเกมปริศนา-ครอสเวิร์ด จริงอยู่ที่ปัจจุบันมีแอปฝึกสมองออกมามาก แต่มีหลักฐานที่ชี้ว่าการเล่น Cross-word หรือ เกมปริศนา หรือ Sudoku อยู่เป็นประจำจะช่วยกระตุ้นสมองได้ดีกว่า
5) ใช้เวลากับศิลปะ ดนตรี และงานสร้างสรรค์ จะช่วยลดการถกถอยของความสามารถในการคิด
AI และเทคโนโลยี ควรมีหน้าที่เป็นคู่หูหรือพันธมิตรที่จะช่วยคนในการทำงานให้ดีขึ้น แต่ถ้าพึ่งพามากไปก็อาจจะส่งผลต่อความสามารถในการทำงานของสมองได้ ดังนั้นถ้าสร้างสมดุลด้วยกิจกรรมและพฤติกรรมอื่นๆ ก็อาจจะช่วยรักษาสมดุลในเชิงการทำงานของสมองของคนไว้ได้ต่อไป
