
8 July 2025
เมื่อนึกถึงศิลปินชั้นนำระดับโลก ชื่อของ Taylor Swift เป็นอีกชื่อหนึ่งที่ทุกคนจะนึกถึงเสมอ ความสำเร็จของ Taylor Swift นั้น ไม่ได้วัดด้วยแค่ยอดรายได้ ยอดติดตาม หรือ ยอดดาวน์โหลดเท่านั้น แต่สามารถดูได้จากการที่ Taylor Swift เป็นศิลปินที่ถูกศึกษาและถอดบทเรียนความสำเร็จออกมาเป็นทั้งหลักภาวะผู้นำและกลยุทธ์ต่างๆ
ล่าสุดมีกรณีศึกษาชื่อ Taylor Swift’s Blue Ocean Strategic Moves ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาโดยสถาบันที่ผู้บุกเบิกในเรื่องของ Blue Ocean (Chan Kim และ Renee Mauborgne) ตั้งขึ้น (The INSEAD Blue Ocean Strategy Institute) ในกรณีศึกษาดังกล่าวมองว่า Taylor Swift นอกจากจะเป็นศิลปิน นักร้องแล้ว ยังเป็นนักกลยุทธ์ที่พลิกโฉมอุตสาหกรรมดนตรีและสามารถสร้างความสำเร็จธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง กรณีศึกษานี้เน้นไปที่การเคลื่อนไหวทางกลยุทธ์ของ Taylor Swift ที่ทำให้เธอโดดเด่น และเป็นบทเรียนในการประยุกต์ Blue Ocean Strategy ในระดับบุคคล
แนวคิดสำคัญของ Blue Ocean Strategy คือการสร้าง “ตลาดใหม่” ที่ไม่มีคู่แข่ง แทนที่จะไปแข่งกันในตลาดเดิมที่มีผู้เล่นจำนวนมาก (Red Ocean) โดยหนึ่งในหลักการคือเรื่องของ ERRC Grid (Eliminate-Reduce-Raise-Create) หรือ จำกัด-ลด-ยก-สร้าง ซึ่ง Taylor Swift ได้ประยุกต์หลักการดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรมผ่านการเคลื่อนไหวที่สำคัญ 3 ประการได้แก่
1. ขยายฐานผู้ฟังจากเพลงคันทรีสู่ป๊อป ด้วยการออกจากแนวเพลงเดิม ไม่ยึดติดกับความเป็นคันทรี (Eliminate) การยกระดับคุณภาพด้วยการทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ระดับโลก (Raise) ทำให้อัลบั้ม 1989 ประสบความสำเร็จในเชิงธุรกิจ และขยายฐานแฟนคลับไปสู่กลุ่มใหม่โดยสิ้นเชิง (Create)
2. ควบคุมสิทธิ์ในผลงานและสร้างความเป็นอิสระให้กับตนเอง เป็นศิลปินที่พยายามเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ผลงานตนเองทุกอย่าง ไม่พึ่งพาค่ายเพลงอีกต่อไป ก่อตั้งบริษัท 13 Management เพื่อบริหารงานทั้งหมดด้วยตนเอง (Eliminate) เมื่อมีปัญหากับเจ้าของลิขสิทธิ์เดิมก็บันทึกเพลงเก่าในเวอร์ชั่นใหม่เป็น Taylor’s version เพื่อที่จะควบคุมลิขสิทธิ์มาสเตอร์เอง จัดจำหน่ายภาพยนตร์คอนเสิร์ตของตนเองโดยตรงกับโรงภาพยนตร์ไม่ผ่านสตูดิโอ เป็นการสร้างโมลเดลในการควบคุมผลงานของตนเอง (Create) ยกระดับการต่อสู่เพื่อสิทธิ์ของศิลปินในวงการ (Raise)
3. เปลี่ยนแฟนเพลงให้เป็นพลังของแบรนด์ โดยการลดการพึ่งสื่อกระแสหลัก (Reduce) หันมาใช้โซเชียลและกิจกรรมพิเศษแบบเข้าถึงแฟนเพลงโดยตรง ยกระดับการเข้ามามีส่วนร่วมของแฟนเพลงให้มากขึ้น (Raise) และสร้างรูปแบบใหม่ที่แฟนเพลงคือผู้ร่วมสร้างแบรนด์ ไม่ใช่แค่ผู้บริโภค ทำให้ Taylor Swift มีแบรนด์ส่วนตัวที่ทรงพลัง (Create)
บทเรียนจาก Taylor Swift ทำให้สามารถนำแนวคิดของ Blue Ocean มาต่อยอดโลกของคนทำงานทั่วไปได้ โดยนำหลักการของ Blue Ocean มาปรับใช้ ดังนี้
1. วาง ERRC Grid ให้กับตนเอง อาจจะลองถามตนเองว่า จะ Eliminate อะไรที่ทำอยู่แต่ไม่สร้างคุณค่าบ้าง? จะ Reduce สิ่งใดที่ทำอยู่แล้วสิ้นเปลืองเวลา ทรัพยากรโดย ไม่ได้สร้างผลลัพธ์มากมาย? จะ Raise จุดแข็งไหนที่ควรจะลงทุนเพิ่มเพื่อสร้างความแตกต่าง? และจะ Create อะไรใหม่ที่ยังไม่เคยทำ แต่มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนเกม?
2. Tipping Point Leadership ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักการของ Blue Ocean ที่เน้นการนำกลยุทธ์ใหม่ที่คิดขึ้น ไปแปลงสู่การปฏิบัติ เน้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม การเปลี่ยนแปลงนี้ จะเน้นไปที่จุดเปลี่ยน (Tipping Point) ไม่จำเป็นต้องเอาชนะทุกปัญหาหรือเปลี่ยนทุกคน เพียงแค่รู้ว่าจะต้องมุ่งเป้าไปที่จุดใด เพื่อให้เกิดแรงกระเพื่อมและผลลัพธ์ที่มีผลมากที่สุด
ซึ่งในกรณีของ Swift นั้น เธอกล้าที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ตนเองเพื่อส่งสัญญาณว่าจะมาในแนวเพลงใหม่ อธิบายเหตุผลในการบันทึกอัลบั๊มใหม่อย่างเปิดเผยโปร่งใส่ ใช้เงินส่วนตัวในการผลิตผลงาน และให้แฟนเพลงเข้ามามีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิด และกลายเป็นพลังสำคัญในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
เมื่อมอง Taylor Swift ผ่านเลนส์ของ Blue Ocean จะเห็นว่าการเปลี่ยนจากผู้เล่นในตลาดเดิม ไปสู่ผู้นำที่สามารถสร้างตลาดใหม่ ต้องกล้าคิดใหม่ ลงมือจริง และสื่อสารอย่างชัดเจน โดยกลยุทธ์ที่ดี ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ แต่กล้าที่จะสร้างคุณค่าใหม่ ในสิ่งที่คนอื่นยังมองไม่เห็นหรือไม่
