22 April 2025

ความไม่แน่นอนและผลของการขึ้นภาษีนำเข้าของอเมริกากลายเป็นประเด็นร้อนที่เป็นที่พูดคุยกันอย่างมาก และเป็นประเด็นที่ไม่สามารถหาข้อยุติได้ว่าสุดท้ายแล้วจะลงเอยอย่างไร ทำให้ธุรกิจจะต้องคิดและหาทางในการเตรียมองค์กรให้พร้อมสำหรับความไม่แน่นอนที่กำลังจะเกิดขึ้น

ผลกระทบจากนโยบายภาษีของอเมริกาที่มีต่อภาคธุรกิจของไทย สามารถพิจารณาใน 3 มิติ ประกอบด้วย 1. ผลกระทบต่อการส่งออกไปยังอเมริกา 2. ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลก ต่อโครงสร้างและระเบียบการค้าโลก และภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า และ 3. ผลกระทบที่ธุรกิจในไทยจะได้รับจากจีน ซึ่งยังมีอีก 2 มุมมอง มุมมองแรกคือทุนจีนก็จะเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น และสินค้าจากจีนจะทะลักเข้าไทยในลักษณะของ China Flooding มุมมองที่สองคือถ้าอเมริกาใช้การลงทุนและการค้ากับจีนเป็นเงื่อนไขในการต่อรองเรื่องภาษีกับไทย การลงทุนและการค้าขายกับจีนก็อาจจะไม่ได้เป็นไปตามที่คาด

ดังนั้นสำหรับธุรกิจไทย จะต้องมองผลกระทบจากสงครามการค้าโลกในครั้งนี้ในหลากหลายมิติและมุมมองเพื่อเตรียมรับกับความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้น โดยมีแนวทางหลักๆ ประกอบด้วย

1. ประเมินผลกระทบที่จะเกิด – แต่ละบริษัทก็จะได้รับไม่เหมือนกัน สามารถแบ่งออกได้เป็นสี่ระดับ ระดับแรก ได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น ส่งออกไปอเมริกา หรือ เกี่ยวข้องกับการลงทุนและการค้าขายจากจีน ระดับที่สอง เป็นบริษัทที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของกลุ่มแรก เช่น จัดหาวัตถุดิบสำหรับบริษัทที่ส่งออกไปอเมริกา 

ระดับที่สาม เป็นธุรกิจได้รับผลกระทบจากผลประกอบการของบริษัทในสองกลุ่มแรก เช่น สถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ส่งออก และ ระดับที่สี่ ได้รับผลกระทบในเชิงมหภาค เช่น จากอัตราการเติบโตของ GDP ที่ลดลง หรือ การบริโภคที่ลดน้อยลง 

ธุรกิจจะต้องประเมินว่าตนเองได้รับผลกระทบในระดับใด จากนั้นพิจารณาว่าตลอดห่วงโซ่อุปทานจนถึงลูกค้า อะไรคือความเสี่ยงหรือประเด็นที่จะได้รับผลกระทบ เช่น ต้นทุนวัตถุดิบ หรือ พฤติกรรมลูกค้า ที่เปลี่ยนไป 

2. เตรียมความพร้อมทางด้านการเงิน – ในช่วงของความไม่แน่นอนความมั่นคงและเสถียรภาพทางการเงินของบริษัทเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารสภาพคล่อง การดูแลเรื่องหนี้สิน และการควบคุมต้นทุน

3. สร้างและเตรียมแผนรองรับความเป็นไปได้ที่จะเลวร้ายสุด – ในสถานการณ์ปัจจุบัน ธุรกิจควรจะนำเรื่องของ Scenario หรือการสร้างฉากทัศน์มาใช้ โดยเฉพาะการคิดและเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายสุด หรือ Worst Case Scenario ไว้ก่อน โดยควรมีแนวปฏิบัติไว้ในกรณีที่สถานการณ์ที่เลวร้ายสุดเกิดขึ้นจริง

4. คิดกลยุทธ์ทางเลือก – ทิศทางเศรษฐกิจและการค้าโลกจะยังมีทิศทางของความไม่แน่นอนไปอีกอย่างน้อย 2-3 ปี ธุรกิจควรจะต้องเริ่มเตรียมกลยุทธ์ที่จะรองรับไว้เลย เช่น บริษัทที่ต้องนำเข้าส่งออกและค้าขายกับต่างประเทศ ก็อาจจะต้องหันมาพึ่งพาตลาดในประเทศ หรือ ถ้าสินค้าหรือบริการได้รับผลกระทบจาก China Flooding ก็จะต้องเร่งสร้างความแตกต่าง โดยอาจจะเน้นเรื่องความเป็นไทย คุณภาพ บริการ หรือ การสร้างแบรนด์ 

5. ปรับองค์กรให้ Resilent มากขึ้น – ธุรกิจที่มีความยืดหยุ่นและ Resilent จะสามารถฟื้นตัวและตอบสนองต่อความไม่แน่นอนได้ดีกว่า เช่น เพิ่มทางเลือกสำหรับห่วงโซ่อุปทาน ไม่พยายามพึ่งพาวัตถุดิบจากเพียงแหล่งเดียว การสื่อสารให้พนักงานได้ทราบถึงความเสี่ยงที่ธุรกิจกำลังเผชิญอยู่ การปรับกระบวนการตัดสินใจให้รวดเร็วขึ้น และ ตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามและประเมินในเรื่องผลกระทบจากสงครามการค้าอย่างจริงจัง

ความไม่แน่นอนของโควิด-19 แตกต่างจากปัจจุบัน โควิดนั้นยังมีความเป็นไปได้เมื่อโควิดคลี่คลาย แต่ในปัจจุบัน ถ้าเกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายจริงๆ โครงสร้างทางการค้าโลกและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะไม่ได้เพียงแค่หยุดชะงักเท่านั้น แต่จะเปลี่ยนไปจากเดิมเลย ธุรกิจจึงจำเป็นจะต้องเริ่มคิดถึงผลกระทบและกลยุทธ์ในการตอบสนองอย่างจริงจัง