24 December 2024

ปี 2024 ที่กำลังจะจบลงเป็นอีกปีที่มีการเปลี่ยนแปลงในโลกของการทำงาน เมื่อย้อนทบทวนดูจะพบเห็นว่าโลกของการทำงานในปีนี้ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิม มาสรุปและย้อนทบทวนดูว่าในปี 2024 ที่กำลังจะจบลงอะไรคือการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในโลกการทำงานที่พบเจอกันบ้าง

ประการแรกคือการเข้ามาของ AI ที่ในปีนี้ได้มีการนำ AI โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Generative AI เข้ามาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการทำงานมากขึ้น จากในปี 2023 ที่ AI ยังดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว แต่ในปีนี้ AI ได้กลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้มากขึ้น AI ได้เปลี่ยนจากเครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพเป็นเครื่องมือในด้านคิดและตัดสินใจมากขึ้น

หลายองค์กรได้ประกาศออกมาอย่างชัดเจนถึงการมุ่งเน้นในเรื่องของ  AI Co-Pilot ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการทำงานของหลายๆ คน จากแนวคิดเดิมที่ว่า AI จะมาทดแทนมนุษย์ก็กลายเป็น AI เปลี่ยนมาเป็นเพื่อนร่วมงานมากขึ้น ลองจินตนาการดูว่าถ้าอยู่ดีๆ ไม่มี AI ขึ้นมา จะยังสามารถทำงานได้เหมือนเดิมหรือไม่

ประการที่สองคือผู้นำจะมีลักษณะของ Purpose-Driven มากขึ้น หลังจากที่ผ่านมาในอดีตเรื่องของ Purpose เป็นเรื่องของทิศทางและกลยุทธ์องค์กร แต่จากความคาดหวังและแรงกดดันจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆ (รวมทั้งพนักงาน) ผู้นำจำนวนมากได้ปรับมาใช้แนวทางของ Purpose-Driven Leadership มากขึ้น

ผู้นำที่มีลักษณะ Purpose-Driven จะไม่ได้คำนึงถึงแต่กำไรของธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่จะให้ความสำคัญต่อผลตอบแทนที่เกิดขึ้นกับสังคม สิ่งแวดล้อม และบุคลากรมากขึ้น ความสำคัญของธุรกิจและผู้นำไปเปลี่ยนไปจาก Profit-Driven มาเป็น Purpose-Driven มากขึ้น ทำให้ผู้นำต้องปรับเปลี่ยนจากมุ่งเน้นแต่การสร้างกำไรสูงสุด สู่การสร้างประโยชน์ต่อสังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อมมากขึ้น

ประการที่สามคือการทำงานในลักษณะแบบ Hybrid กลายเป็นเรื่องปกติในโลกการทำงาน ความ Hybrid นั้นมีทั้งในรูปแบบของนโยบายการทำงานที่พนักงานไม่จำเป็นต้องเข้าทำงานทุกวัน เช่น ในสัปดาห์หนึ่งอาจจะเข้าที่ทำงาน 3-4 วัน ซึ่งเรื่องนี้ได้กลายเป็นมาตรฐานและความคาดหวังที่คนรุ่นใหม่มองหาเมื่อสมัครงาน การทำงานแบบ Hybrid ถูกใช้เป็นจุดขายในการรับสมัครพนักงานรุ่นใหม่ในหลายๆ องค์กร และยังเป็นปัจจัยที่ใช้ในการดึงดูดพนักงานที่มีความสามารถไว้ภายในองค์กรด้วย

อีกมุมหนึ่งของความเป็น Hybrid ที่กลายเป็นเรื่องปกติในโลกการทำงาน คือทำให้การทำงานร่วมกันที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น จะพบว่าการประชุมที่มีทั้งรูปแบบ Onsite และ Online ไปพร้อมกันกลายเป็นเรื่องปกติทุกองค์กร

ประการที่สี่คือองค์กรเริ่มให้ความสนใจต่อสุขภาพจิตของพนักงานมากขึ้น ในอดีตที่องค์กรเน้นดูแลสุขภาพกายเป็นหลัก ปีนี้กระแสของการดูแลสุขภาพจิตมีความสำคัญมากขึ้น องค์กรหลายแห่งมีนักจิตวิทยามาประจำเพื่อคอยให้คำปรึกษา มีความร่วมมือกับหน่วยราชการหรือโรงพยาบาลในด้านที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตพนักงาน รวมทั้งมีโครงการต่างๆ ที่คอยดูแลและยกระดับสุขภาพจิตของพนักงานด้วย

ประการที่ห้าคือกระแสบนโลกสังคมออนไลน์ได้เข้ามามีอิทธิพลต่อโลกการทำงานมากขึ้น จากปี 2022 ที่ Quiet Quitting ได้สร้างกระแสไปทั่วโลก พอมาปีนี้ กระแสของ Lazy Girl Jobs และ Loud Quitting ก็ส่งผลต่อโลกการทำงานจริงๆ มากขึ้น Lazy Girl Jobs เป็นลักษณะงานที่ทำให้มีรายได้ที่พอเลี้ยงตัวได้ งานไม่ได้หนักหรือต้องทุ่มเทมาก ไม่ต้องเข้าทำงานที่ออฟฟิศเป็นประจำ มีเวลาสำหรับครอบครัวและการดูแลตนเองมากขึ้น ส่วน Loud Quitting คือเมื่อพนักงานประกาศออกมาอย่างเปิดเผยถึงความไม่พอใจเกี่ยวกับงาน อาจจะยังไม่ลาออกจริงก็ได้ หรือ ถึงขั้นประกาศลาออกผ่านทางโลกสังคมออนไลน์ พร้อมทั้งประกาศให้โลกรู้ถึงความไม่พอใจที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ลาออก

ต้องดูต่อไปว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2024 จะยังคงอยู่และได้รับการต่อยอด พัฒนาต่อไปในปี 2025  หรือไม่ แล้วจะมีแนวโน้มอะไรใหม่ๆ ที่น่าสนใจในการทำงานที่จะเกิดขึ้นในปี 2025 บ้าง