6 August 2024

ในอดีตชื่อของบริษัท Intel เป็นชื่อของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ แต่ปัจจุบัน Intel กลายเป็นภาพของบริษัทธรรมดาที่ชื่อเริ่มจางหาย ประสบกับทั้งการขาดทุนและดิ้นรนเพื่ออยู่รอด ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับ Intel?

Intel ได้สร้างบุคคลและเรื่องราวที่เป็นตำนานให้กับโลกธุรกิจจำนวนมาก Gordon Moore หนึ่งในผู้ก่อตั้งที่บัญญัติ Moore’s Law ที่เป็นรู้จักกันดี Andy Grove อดีตซีอีโอของบริษัท ที่สามารถนำพา Intel สู่ความยิ่งใหญ่ และได้รวบรวมหลักการบริหารของเขาอยู่ในหนังสือชื่อ Only the Paranoid Survive ซึ่งเป็นหนึ่งในหนังสือคลาสสิกในโลกการบริหารธุรกิจ

Intel เป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดเรื่อง OKR (Objective, Key Result) ที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ในตำนานของ Intel นั้นก็ได้แก่ 8086 microprocessor ที่เป็นพื้นฐานสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์และต่อมาได้รับการต่อยอดมาเป็นชิป 286, 386, 486 และ Pentium ที่คุ้นเคยกัน

ข่าวล่าสุดของ Intel นั้น เป็นเรื่องแผนที่จะปลดพนักงานจำนวน 15,000 คนภายในปลายปีนี้ หรือ การประกาศงดจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้น เพื่อช่วยลดต้นทุน ในไตรมาสสองที่ผ่านมา Intel ประสบกับการขาดทุนอยู่ถึง $1.6 billion และขาดทุนติดต่อกันมาเป็นสองไตรมาส ทำให้สัปดาห์ที่แล้วราคาหุ้นของ Intel ร่วงลงมากที่สุดในรอบ 40 ปี

ปัญหาของ Intel เป็นผลสะสมมาจากก้าวย่างหรือการตัดสินใจทางกลยุทธ์ที่ผิดพลาดมาตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน Intel ก็ยังคงผลิตและขายชิปอยู่ โดยรายได้หลักก็มาจากชิปสำหรับคอมพิวเตอร์และเซิฟเวอร์ รวมทั้งมีพยายามพัฒนาและขายชิปเพื่อรองรับต่อ AI แต่ก้าวย่างที่ผิดพลาดของ Intel ก็ได้เปิดโอกาสให้คู่แข่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น Qualcomm, AMD, TSMC, Samsung รวมถึง NVIDIA เกาะกุมโอกาสที่ Intel ปล่อยผ่านแล้วแซงหน้าไปได้

เมื่อ iPhone ถือกำเนิด ก็มีบันทึกว่า Steve Jobs ได้ไปเยี่ยม Intel และพิจารณาอยู่ว่าจะนำชิปของ Intel มาใช้ใน iPhone แต่สุดท้ายก็ตกลงเงื่อนไขกันไม่สำเร็จ Apple ใช้ชิปของ Arm ต่อมาก็ว่าจ้าง TSMC ให้ผลิตชิปของตนเองขึ้น ส่วนมือถือค่าย Android นั้นก็จะใช้ชิปของ Qualcomm เป็นส่วนใหญ่ 

การพลาดโอกาสในธุรกิจมือถือทำให้ Intel สูญเสียโอกาสจากตลาดที่กำลังเติบโตและมีขนาดที่ใหญ่กว่าคอมพิวเตอร์ที่มี Intel Inside อย่างมากมาย 

Intel ยังประสบปัญหาความล่าช้าในการพัฒนาและปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตชิป จากขนาด 14 nm (nanometers) ให้เหลือ 10 nm และ 7 nm ซึ่งในช่วงเวลาของความล่าช้าดังกล่าวก็เป็นการเปิดโอกาสให้คู่แข่งอย่าง AMD, TSMC และ Samsung แซงหน้า Intel ไปได้

ล่าสุดคือตลาด AI ที่ Intel ทั้งล่าช้าและขาดผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อการเติบโตของ AI ทำให้ NVIDIA สามารถก้าวขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งในเรื่องชิปสำหรับ AI และกลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก

จะพบว่าสาเหตุสำคัญของการตกจากดาวสู่ดินของ Intel นั้นก็เหมือนกับหลายบริษัทที่เคยประสบความสำเร็จมาก่อน นั้นคือ การมีวัฒนธรรมของความสำเร็จ   (Culture of Success) 

เมื่อ Intel เริ่มธุรกิจ หนึ่งในวัฒนธรรมองค์กรที่ Intel มีความโดดเด่นคือเรื่องของนวัตกรรมและกล้าที่จะเสี่ยง แต่จากความสำเร็จที่เกิดขึ้น ทำให้ Intel ได้มีวัฒนธรรมของความสำเร็จแทน นั้นคือยึดติดกับความสำเร็จที่เกิดขึ้น ขาดนวัตกรรม และไม่กล้าเสี่ยง และยิ่งเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป (จากมือถือสู่ Cloud สู่ AI) ยิ่งทำให้ Intel ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน

วัฒนธรรมของความสำเร็จ ทำให้ขาดความยืดหยุ่นทางกลยุทธ์ Intel ยังคงมุ่งเน้นแต่ตลาด CPU สำหรับคอมพิวเตอร์ ไม่สามารถปรับตัวต่อตลาดและโอกาสใหม่ ทั้งโทรศัพท์มือถือ หรือ AI หรือ GPU

ก็ต้องติดตามต่อไปว่าสุดท้ายแล้ว Intel จะสามารถพลิกฟื้นตนเองได้สำเร็จหรือไม่ มิฉะนั้นในอนาคตลูกหลานอาจจะนึกไม่ออกแล้วว่าชื่อ Silicon Valley นั้นมาจากไหน (ซิลิคอนคือส่วนประกอบสำคัญในการผลิตชิป)