11 June 2024

เมื่อนึกถึงสงครามน้ำอัดลมของสหรัฐ อันดับหนึ่งและสองที่ยืนอยู่มายาวนานคือ โค้กและเป๊ปซี่ แต่ล่าสุดมีข่าวออกมาว่าเป๊ปซี่ได้สูญเสียอันดับสองให้กับ Dr Pepper ที่ขึ้นมาครองอันดับสองร่วม

จากตัวเลขของ Beverage Digest ที่เปิดเผยโดย The Wall Street Journal ระบุว่าเมื่อเทียบรสต่อรสแล้ว Dr Pepper มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 8.34% ขณะที่เป๊ปซี่มีส่วนแบ่งที่ 8.31% ซึ่งไม่ต่างกันมากเลย ถือว่าครองอันดับสองร่วมกัน ส่วนอันดับหนึ่งยังคงเป็นโค้ก ที่มีส่วนแบ่งอยู่ที่ 19.2% ทำให้เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีที่มีแบรนด์อื่นมาเบียดอยู่ในอันดับสองร่วมกับเป๊ปซี่

ชื่อของ Dr Pepper (ต้องไม่มีจุดหลัง Dr) อาจจะไม่ได้คุ้นหูของผู้บริโภคทั่วโลกเท่ากับอีกสองแบรนด์ แต่ Dr Pepper ถือเป็นแบรนด์น้ำอัดลมที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐ เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2428 ก่อนทั้งโค้กและเป๊ปซี่โดย Charles Alderton ซึ่งเป็นเภสัชกรในร้านขายยา และพัฒนาน้ำอัดลมที่มีรสชาติเหมือนกับกลิ่นในร้านขายยา โดยมีส่วนผสมถึง 23 ชนิด

แต่ถึงแม้จะเป็นแบรนด์ที่เก่าแก่กว่าเพื่อน แต่ก็เพิ่งมีโอกาสเป็นที่รู้จักอย่างโดดเด่นไปทั่วก็เมื่อไม่นานมานี้ โดย Dr Pepper ใช้กลยุทธ์การเป็นทางเลือกที่สามที่สามารถเข้าได้กับทุกค่าย ในฟาสต์ฟู้ดที่มีเพียงแค่โค้กหรือเป๊ปซี่ ก็มักจะมี Dr Pepper ร่วมอยู่ด้วย รวมทั้งยังใช้ทั้งโรงงานบรรจุขวดและเครือข่ายจัดจำหน่ายของทั้งสองค่ายด้วย ทำให้ Dr Pepper เป็นรู้จักของผู้บริโภคในวงกว้างมากขึ้น

ความแตกต่างที่สำคัญของ Dr Pepper คือรสชาติ รสชาติของ Dr Pepper นั้นมีความแตกต่างจากรสของโค้กและเป๊ปซี่อย่างชัดเจน จึงกลายเป็นทางเลือกที่แตกต่างสำหรับผู้ที่ต้องการดื่มน้ำอัดลมที่มีรสชาติที่แตกต่างจากเดิม

ทั้งทำให้เป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภครุ่นใหม่ที่มีการใช้สื่อออนไลน์ เช่น TikTok ให้ผู้บริโภคร่วมกันคิดวิธีการดื่ม Dr Pepper แบบใหม่ๆ เช่น ดื่มร่วมกับแตงกวาดอง 

การทำการตลาดของ Dr Pepper ก็ยังเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างชัดเจน โดยการสนับสนุนการแข่งขันกีฬาระดับมหาวิทยาลัยของสหรัฐ นอกจากนี้เพื่อให้ถูกใจวัยรุ่น Dr Pepper เน้นสร้างสรรค์รสชาติใหม่ๆ ออกมาตลอดเวลา เช่น Dr Pepper Creamy Coconut หรือ Dr Pepper Strawberries & Cream หรือ Cherry Vanilla Dr Pepper เป็นต้น

นอกจากสิ่งที่ได้ทำไปแล้ว Dr Pepper ยังได้ผลพวงจากแนวโน้มการบริโภคแบบใหม่ในสหรัฐ ที่หันมานิยมรสชาติที่แปลกใหม่ออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวโน้มเรื่อง Swicy หรือ Sweet + Spicy ที่ทั้งหวานและเผ็ดไปพร้อมๆ กัน อย่างล่าสุดโค้กก็เปิดตัว Coca-Cola Spiced

ส่วนทางเป๊ปซี่ดูเหมือนจะไม่ได้มุ่งเน้นในด้านนี้เท่าใด แต่มุ่งเรื่องของสุขภาพเป็นหลัก โดยเฉพาะ Diet Pepsi ซึ่งปัจจุบัน Diet Pepsi มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 7 จริงๆ แล้วถ้านับรวมเป๊ปซี่ธรรมดาและ Diet Pepsi เข้าด้วยกัน ก็สามารถครองอันดับสองและเอาชนะ Dr Pepper ได้

อีกสาเหตุที่ทำให้ตำแหน่งเป๊ปซี่ตกลง อาจมาจากการที่บริษัทแม่นั้นมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายทั้งเครื่องดื่มและอาหาร (ผลิตภัณฑ์ของเป๊ปซี่มีขนมขบเคี้ยวอย่าง Frito-Lay หรือ อาหารเพื่อสุขภาพอย่าง Quaker) ทำให้ต้องกระจายความสนใจไปที่หลายผลิตภัณฑ์

เจ้าของแบรนด์ Dr Pepper คือบริษัท Keurig Dr Pepper (KDP) ที่มีแบรนด์เครื่องดื่มสำเร็จรูปที่คุ้นชื่อกันอยู่หลายแบรนด์ อาทิเช่น 7Up, Canada Dry, Scheweppes, A&W, RC (RC Cola)

นอกจากนี้ KDP ยังเชี่ยวชาญในเรื่องของกาแฟ ทั้งกาแฟแบบแคปซูลที่ใช้กับเครื่องชงของ Keurig เอง (คล้ายเครื่องชงของ Nesspresso) รวมทั้งเป็นผู้ผลิตกาแฟให้กับแบรนด์ต่างๆ อีกมาก

ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า Dr Pepper จะสามารถรักษาอันดับสองไว้ได้ไหม หรือ เป๊ปซี่จะทุ่มความพยายามเพื่อชิงอันดับสองกลับมาให้ได้