10 October 2023

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้มีโอกาสเข้าฟังงานสัมมนา ESG Symposium 2023 ซึ่งจัดโดย SCG โดยได้จัดติดต่อกันมาเป็นครั้งที่ 11 แล้ว โดยในปีนี้ธีมหลักคือ Low Carbon Society ร่วมเร่งเปลี่ยน สู่สังคมคาร์บอนต่ำ

ความน่าสนใจคือ การแบ่งปันประสบการณ์จากทั้งภาครัฐและเอกชนจากทั้งในและต่างประเทศ ในการขับเคลื่อนเข้าสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ และเป็นการบอกเล่าในลักษณะของการนำแนวคิดเรื่องของ ESG ไปสู่การปฏิบัติให้เห็นผลได้จริง ไม่ใช่เพียงแค่สร้างความตระหนักหรือแรงบันดาลใจเท่านั้น

จะพบว่าการนำ ESG ไปปฏิบัติ ไม่ได้มีสูตรสำเร็จตายตัว อย่างไรก็ดีสามารถรวบรวมประเด็นสำคัญและประเด็นร่วมจากงานสัมมนาและสรุปออกมาได้ 7 ประเด็น ซึ่งทั้ง 7 ประเด็นก็จะเปรียบเสมือนแนวทางในการดำเนินงานสำหรับธุรกิจหรือภาครัฐที่จะมุ่งเน้นในเรื่องของ ESG

1. เริ่มจากทำให้เห็นความจำเป็นและความสำคัญของเรื่อง ESG จากประสบการณ์ของหลายๆ หน่วยงานจะพบว่าถ้าไม่เห็นถึงความจำเป็นและสำคัญ การขับเคลื่อนตามแนวทาง ESG ก็ยากที่จะเกิดและยั่งยืน

ถ้าในเรื่องของสิ่งแวดล้อม (หรือตัว Environment) ปัจจุบันทุกๆ คนจะมีความตระหนักและเห็นความสำคัญมากขึ้น ยิ่งจากผลของภาวะโลกเดือด รวมถึงฝุ่นพิษ และภัยธรรมชาติต่างๆ ส่วนสังคม (ตัว S) กับ ธรรมาภิบาล (ตัว G) อาจจะยังไม่ได้รับความสำคัญเท่าประเด็นสิ่งแวดล้อม

2. การสร้างความเชื่อ หรือ Believe เมื่อเห็นถึงความจำเป็นและสำคัญแล้ว ก็จะต้องมีความเชื่อว่าเมื่อปฏิบัติตามแนวทางของ ESG แล้ว จะนำไปสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง ทั้งความยั่งยืนต่อสังคมและโลก และความยั่งยืนขององค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อที่ว่าถ้าสามารถปฏิบัติตามแนวทางของ ESG ได้จริงแล้ว สุดท้ายผลประกอบการของธุรกิจย่อมจะดีขึ้น

3. หาทางแก้ปัญหาหรือ Pain Points เมื่อเห็นความจำเป็นและมีความเชื่อแล้ว ส่ิงที่จะทำที่เกี่ยวกับ ESG นั้นก็ควรจะเริ่มต้นจากสิ่งที่สามารถทำได้ก่อนและเห็นผลได้เร็ว โดยเริ่มต้นจากปัญหาหรือ Pain ของ ESG ที่ประสบอยู่

เช่น ปัญหาพลาสติกที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม ก็ทำให้หนึ่งในบริษัทที่มาพูดในงาน ESG Symposium หันมาหาทางพัฒนา (บริษัทชื่อ Braskem) หรือ จากปัญหาการการกักเก็บพลังงานไว้ใช้ ก็ถูกพัฒนาเป็น แบตเตอรี่กักเก็บความร้อนจากพลังงานแสงอาทิตย์ (ตัวอย่างจาก Rondo Energy ในงานเดียวกัน)

4. ใช้นวัตกรรม การวิจัยและพัฒนา มาแก้ไข Pain ที่เกิดขึ้น วิธีการทำงานแบบเดิมๆ จะไม่สามารถช่วยแก้ไข Pain ที่เกิดขึ้นในเรื่องของ ESG ได้ ดังนั้นนวัตกรรม การวิจัยและพัฒนา จึงเป็นทางออกสำหรับแก้ไข Pain ที่เกิดขึ้น

5. จะต้องมีการทำงานร่วมกับเครือข่ายหรือพันธมิตร เนื่องจาก Pain ของเรื่อง ESG จะไม่สามารถดำเนินการด้วยองค์กรเดียว จากทุกองค์กรที่มาเล่าประสบการณ์ใน ESG Symposium

ประเด็นเรื่องของเครือข่ายหรือพันธมิตร จะเป็นประเด็นร่วมกันและถูกยกมาเป็นประเด็นสำคัญ มีตัวอย่างของ CJPT หรือ  Commerical Japan Partnership ที่เป็นการรวมกลุ่มของค่ายรถบรรทุกที่เป็นคู่แข่งกันอย่างโตโยต้า อีซูซุ ฮีโน่ ซูซุกิ ไดฮัทสุ เพื่อร่วมมือกันหาทางลงการปล่อยก๊าซคาร์บอนในธุรกิจขนส่ง

6. การมีมุมมองที่ครบถ้วนและรอบด้าน การจะแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับ ESG ได้ จะไม่ใช่เพียงแค่มุ่งเน้นเรื่องของเทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น จะต้องคิดให้รอบด้าน (Holistics View) ทั้งในเรื่องของ ข้อตกลงร่วมกันของคนในสังคม (Social Contract) หรือ การเงิน เช่น กองทุนสีเขียว เป็นต้น

7. การขับเคลื่อนและก้าวสู่สังคมของความยั่งยืน จะต้องเป็นสิ่งที่ไปพร้อมกัน ไม่ว่าบริษัทขนาดใหญ่ กลาง หรือ เล็ก หรือประชาชนในทุกชนชั้นและระดับ

ความท้าทายปัจจุบันคือบริษัทขนาดใหญ่ที่พร้อมได้ก้าวสู่เรื่อง ESG อย่างมากแล้ว แต่ธุรกิจขนาดกลางและย่อม ยังสนใจต่อการดำรงอยู่ของธุรกิจมากกว่า หรือ ประชาชนที่พร้อมก็จะสนใจเรื่องของสิ่งแวดล้อม

แต่ประชาชนกลุ่มเปราะบาง ก็ยังต้องมุ่งเน้นการทำงานเลี้ยงชีพเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อคิดในเรื่องของ ESG แล้วจะต้องคิดให้ครบถ้วน เช่น ถ้าจะผลักดันสังคมไทยให้ไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำนั้น จะไม่สามารถทิ้งใครไว้อยู่เบื้องหลังได้ จะต้องไปพร้อมๆ กันหมด