9 August 2023

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กลยุทธ์หนึ่งที่บริษัทขนาดใหญ่นิยมใช้คือ “แตกเพื่อโต” ที่แยกธุรกิจย่อยออกเป็นบริษัทลูก และแต่ละบริษัทลูกก็แยกย้ายกันเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

กลยุทธ์แตกเพื่อโตนี้ มีคำภาษาอังกฤษที่เรียกแตกต่างกันออกไป เช่น De-merger หรือ De-conglomerate หรือ Spinoff หรือ Unlock value เป็นต้น

โดยหลักการแล้วก็เพื่อให้ธุรกิจมีการเติบโตและเพิ่มมูลค่าของกิจการโดยรวม แทนที่หลายธุรกิจย่อยจะอยู่ภายใต้บริษัทเดียว ก็จะแยกธุรกิจย่อยออกเป็นบริษัทลูกแล้วให้แต่ละบริษัทลูกเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

สาเหตุของการแตกเพื่อโตนั้นก็มีหลากหลาย ทั้งเพื่อให้ธุรกิจย่อยมีความอิสระและคล่องตัวมากขึ้น หรือเพื่อให้ธุรกิจย่อยได้มุ่งเน้นในการเติบโตอย่างแท้จริง โดยไม่ต้องไปผูกกับบริษัทแม่ที่เป็นธุรกิจแบบดั้งเดิม หรือให้นักลงทุนสามารถลงทุนในธุรกิจที่ตนเองสนใจได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านทางบริษัทแม่ หรือเพื่อทำให้มูลค่าของทั้งกิจการเพิ่มขึ้น เป็นต้น

ช่วงที่ผ่านมา มีตัวอย่างของบริษัทที่ใช้กลยุทธ์แตกเพื่อโตทั้งในต่างประเทศและไทย ในต่างประเทศนั้นก็มีกรณีของ GE (General Electrics) ที่ประกาศในปี 2548 ว่าจะแตกตัวจากยักษ์ใหญ่ GE ออกเป็นสามธุรกิจย่อยที่เป็นอิสระจากกัน ได้แก่ ด้านการบิน สุขภาพ และพลังงาน 

หรือ Siemens ที่แตกธุรกิจสุขภาพออกมาในปี 2561 และธุรกิจพลังงานในปี 2563 หรือ Johnson & Johnson ที่แยกธุรกิจยาและสินค้าอุปโภคบริโภคให้ชัดเจนขึ้น โดยธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคถูกจัดตั้งใหม่ในนามบริษัท Kenvue และเพิ่งถูกนำเข้าจดทะเบียนเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา

สำหรับในไทยเองก็มีหลายบริษัทที่ประกาศหรือดำเนินตามกลยุทธ์แตกเพื่อโตในช่วงที่ผ่านมา เช่น SCG ที่แยกออกมาเป็น SCGP และ SCGC โดย SCGP ได้เข้าจดทะเบียนเรียบร้อยแล้ว ส่วน SCGC ก็อยู่ในกระบวนการ 

กรณีของไทยพาณิชย์ ที่สร้างความฮือฮาด้วยการปรับโครงสร้าง มียานแม่และยานลูกขึ้นมา โดยมีแผนที่จะนำยานลูกเข้าจดทะเบียนต่อไปในอนาคต หรือล่าสุดคือกรณีของ RS ที่เมื่อต้นปีที่ผ่านมาก็ได้ประกาศปั้นธุรกิจ 6 กลุ่มของตนเอง เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีเป้าหมายที่มูลค่าบริษัททั้งหมด 100,000 ล้านบาท

คำถามหนึ่งคือ กลยุทธ์แตกเพื่อโตนี้นำไปสู่ความสำเร็จจริงหรือไม่?

ล่าสุดก็เริ่มมีบทพิสูจน์จาก GE ถึงความสำเร็จในเบื้องต้นแล้ว โดย GE เพิ่งแตกธุรกิจด้านสุขภาพออกมาเป็น GE HealthCare ออกมาเมื่อต้นปีนี้ และราคาหุ้นของ GEHC ก็ปรับตัวจากประมาณ 55 ดอลลาร์มาอยู่ที่ 75 ดอลลาร์ในปัจจุบัน 

สำหรับตัวบริษัท GE ในปัจจุบันยังประกอบไปด้วยสองธุรกิจหลัก คือ การบินและพลังงาน โดยธุรกิจพลังงานนั้นอยู่ระหว่างการเตรียมการที่จะแยกตัวออกมา ภายใต้ชื่อ GE Vernova และตัวบริษัท GE นั้นก็จะเหลือแต่ธุรกิจการบิน (Aerospace) ซึ่งก็คือผู้ผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินเป็นหลัก

GE ได้ปรับโครงสร้าง กระบวนการทำงาน โดยเน้นลดต้นทุนและลดขั้นตอน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแยกธุรกิจย่อยออกไป 

ในอดีตที่ GE มีธุรกิจอยู่มากมายนั้น ผู้บริหารของบริษัทพบว่าจากความหลากหลายของธุรกิจที่มีอยู่ ทำให้การทำงานภายในไม่มีประสิทธิภาพ ยากต่อการบริหาร และทำให้ผู้บริหารไม่สามารถมุ่งเน้นได้ การแตกเพื่อโตนั้นก็เพื่อทำให้การดำเนินงานนั้นง่าย ชัดเจน และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ถึงแม้กลยุทธ์แตกเพื่อโตของ GE ยังไม่เสร็จสิ้น แต่นักลงทุนดูเหมือนเห็นด้วยและชื่นชอบต่อแนวทางของ GE ดูได้จากในรอบปีที่ผ่านมาราคาหุ้นของ GE เพิ่มขึ้นมากกว่า 100% และเพิ่มสูงในอัตราที่สูงกว่าบรรดาหุ้นเทคโนโลยี

อย่าง Meta, Microsoft, Apple ด้วยซ้ำ และเป็นราคาหุ้นที่สูงที่สุดของ GE ในรอบ 5 ปีเลยทีเดียว ขณะที่การฟื้นตัวของธุรกิจการบิน ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโตของหุ้น GE ด้วยเช่นกัน

ความสำเร็จในเบื้องต้นของกลยุทธ์แตกเพื่อโตของ GE นั้นน่าจะเป็นกำลังใจให้กับบริษัทอื่นที่เลือกเดินตามเส้นทางนี้ เพียงแต่ว่าจะเป็นกลยุทธ์ที่นำไปสู่ความสำเร็จจริงหรือไม่ก็ต้องดูกันยาวๆ ต่อไป