
18 September 2011
เมื่อเรานึกถึงการเรียนการสอนในหลักสูตร MBA นั้นเรามักจะนึกถึงการเรียนในวิชาที่ต้องอาศัยการวิเคราะห์ ตัวเลข กรณีศึกษาต่างๆ แต่ปัจจุบันแนวโน้มในการศึกษาทางด้าน MBA ในหลายๆ สถาบันเริ่มเปลี่ยนไป และหันมาให้ความสำคัญกับวิชาที่เป็นพวก Soft-Skill มากขึ้น ถึงกระนั้นก็เริ่มมีหลายสถาบันชั้นนำที่หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของอารมณ์และจิตใจมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิชาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของผู้นำ
นิตยสาร Fortune รายงานครับว่าใน Columbia Business School ได้มีการเปิดวิชาเลือกหนึ่งขึ้นมาชื่อว่า Personal Leadership & Success ที่มีอยู่ชั่วโมงหนึ่งที่นักศึกษาจะนั่งตัวตรง หลับตา และนั่งสมาธิ ส่วนที่ Stanford นั้นก็มีวิชาหนึ่งที่ชื่อ Touchy-Feely ที่เปิดสอนมานานพอสมควร หรือ ที่ Harvard Business School ก็มีวิชาหนึ่งที่สอนโดยอดีตผู้บริหารสูงสุดของ Medtronic ที่ชื่อ Bill George ที่ให้นักศึกษาจับกลุ่มและพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่างๆ ของแต่ละคน เพื่อสะท้อนและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เนื่องจาก George เชื่อว่าการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในเชิงลึกระหว่างกัน จะทำให้เกิดความรู้สึกมีส่วนร่วมในกลุ่ม และการมีกลุ่มที่สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ได้ในทุกเรื่อง (เขาเรียกว่า True North Group) จะทำให้ผู้บริหารเป็นผู้นำที่ดีขึ้น
จะเห็นได้เลยนะครับว่ากระแสสำคัญของการเรียน MBA ในยุคนี้จะไม่ใช่อยู่ที่การสอนพื้นฐานทางธุรกิจ รวมทั้งการใช้เครื่องมือต่างๆ ในลักษณะของ How-to เท่านั้น แต่ได้เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ลึกลงไปของนักศึกษาด้วย ไม่ว่าจะเป็นการรู้จักตนเอง การหาความหมายในสิ่งที่ตนเองต้องการเป็น การค้นหาความเชื่อของตนเอง ซึ่งก็สอดคล้องกับความต้องการของคนยุค Millennials ในปัจจุบันนะครับ ที่ให้ความสำคัญกับการค้นหาความหมายของสิ่งต่างๆ มากขึ้น มีงานวิจัยจาก Mercer ที่ชี้ให้เห็นครับว่าในคนรุ่นใหม่นั้น ชื่อเสียงที่ดีของบริษัทกลายเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งในการเลือกงาน (ถึงแม้เงินเดือนจะยังคงเป็นอันดับหนึ่งอยู่) คนรุ่นใหม่เริ่มแสวงหาคุณค่าในสิ่งต่างๆ และพยายามหางานในองค์กรที่สะท้อนภาพในคุณค่าที่ตนแสวงหา
มีบทสัมภาษณ์ศิษย์เก่าของ Harvard ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของวิชาพวกนี้ครับ โดยศิษย์เก่าคนหนึ่งระบุเลยครับว่าปัญหาของผู้บริหารยุคปัจจุบันไม่ใช่อยู่ที่การขาดความสามารถในการวิเคราะห์ แต่เป็นเรื่องของการขาดค่านิยม (Value) ที่ชัดเจน ปัญหาหรือความผิดพลาดที่องค์กรต่างๆ ประสบในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องของ How-to แต่เป็นเรื่องของคุณค่าที่เสื่อม หรือ จริยธรรมที่เป็นปัญหาต่างหาก ในขณะที่วิชาที่เน้นทางจิตใจอย่างกรณีที่ Columbia หรือ Harvard นั้น สามารถช่วยทำให้ (ว่าที่) ผู้บริหารแต่ละคนรับรู้และเข้าใจถึงจุดแข็ง จุดอ่อนของตนเองมากขึ้น ไม่มีความทะเยอทะยานอยากได้ที่เกินความจำเป็น ซึ่งสุดท้ายแล้วนำไปสู่การขาดจริยธรรม
จริงๆ แล้ว เมื่อพิจารณาในรายละเอียดแล้ว เราจะพบนะครับว่าสิ่งที่ Business School เหล่านี้หันมาให้ความสนใจมากขึ้นก็คือการคิดในเชิงพุทธนั้นเองครับ ถ้าเราสามารถประยุกต์วิธีการคิดและการปฏิบัติในทางพุทธศาสนาเข้ากับการเรียนการสอนทางด้านบริหารธุรกิจนั้นก็หวังว่าจะทำให้เราได้ผู้นำที่นอกเหนือจากการมีทักษะทางการบริหารที่ดีแล้ว ยังมีค่านิยมและคุณธรรมที่ดีอีกด้วย
ในสังคมยุคปัจจุบันนักบริหารที่ดีไม่ใช่แต่จะบริหารเก่งอย่างเดียว แต่ทุกๆ คนจะให้ความสำคัญต่อค่านิยมและคุณธรรมในการบริหารด้วย ซึ่งผู้บริหารแต่ละคนจะมีค่านิยมและคุณธรรมอย่างไรนั้นก็คงจะต้องเริ่มต้นจากการรู้จักตนเองและเข้าใจในสิ่งที่ตนเองต้องการก่อนนะครับ ในเมื่อต่างประเทศเขาเริ่มสนใจฝึกทางด้านจิตใจของว่าที่ผู้นำทั้งหลายแล้ว ทำไมประเทศไทยที่เป็นเมืองพุทธจะไม่สามารถทำได้บ้าง?
