31 July 2011

คนเรามักจะชอบคิดชอบฝันนะครับ ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารองค์กรต่างๆ นักการเมือง นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนคนทุกคน ซึ่งย่อมมีสิทธิ์ที่จะฝันได้ แต่ว่าทำไมเมื่อเราฝันกันแล้วกลับไม่ทำความฝันนั้นให้เป็นความจริงๆ อาจจะบอกได้ว่าเนื่องจากการฝันนั้นเป็นเรื่องง่าย เพียงแค่นั่งเฉยๆ ก็ฝันได้แล้ว แต่การจะทำให้ฝันนั้นเป็นจริงนั้นไม่ง่ายครับ ผมได้มีโอกาสเจอข้อเขียนของผู้ประกอบการสองท่าน (David Ronick & Jenn Houser) ซึ่งเขียนเกี่ยวกับการหยุดฝันและเริ่มการสร้างธุรกิจใหม่ขึ้นมา (Stop dreaming and start building your new business) ซึ่งเมื่ออ่านดูแล้วน่าจะสามารถนำแนวคิดในการสร้างธุรกิจใหม่มาใช้ได้ในทุกสถานการณ์นะครับ

การทำความฝันให้เป็นจริงนั้นต้องเริ่มจากการทำครับ และการลงมือทำนั้นเพียงแต่ขอให้เริ่มก่อน โดยการเริ่มนั้นอาจจะเป็นเพียงก้าวเล็กๆ แต่ก็ดีกว่าไม่ได้เริ่มเลย ความยากนั้นอยู่ที่การเริ่มต้นนั้นเองครับ ดังนั้นเมื่อท่านผู้อ่านฝันและอยากจะเริ่มทำสิ่งใดก็ตาม ก็ขอให้เริ่มจากก้าวเล็กๆ ก่อนครับ จะเป็นการเริ่มต้นทำสิ่งใดก็ตาม ขอเพียงให้ได้เริ่มก่อนเป็นพอครับ เมื่อเราเริ่มต้นจากก้าวเล็กๆ และทำก้าวเล็กๆ นั้นให้ประสบความสำเร็จ เราก็จะมีแรง มีกำลังใจในการก้าวต่อไปครับ การเริ่มต้นนั้น ท่านผู้อ่านอาจจะเริ่มต้นจากการทำในสิ่งที่ตนเองชอบก่อนก็ได้ครับ แล้วท่านผู้อ่านจะรู้สึกดีครับที่อย่างน้อยได้เริ่มต้น

ข้อคิดถัดมาคือทำให้ง่ายเข้าไว้ครับ และอย่าไปมุ่งเน้นในเรื่องของความสมบูรณ์ การจะทำให้ความฝันเป็นจริงนั้น อย่าไปสร้างข้อจำกัดให้กับตัวเอง ด้วยการทำให้สิ่งต่างๆ ยากเกินเหตุ อีกทั้งขอให้เริ่มต้นไปก่อน โดยอย่าไปหวังว่าจะสมบูรณ์ครับ เนื่องจากถ้าขืนมุ่งเน้นความสมบูรณ์นั้น เราจะไม่สามารถทำได้ และเป็นการสร้างกรอบ ข้อจำกัดให้กับตนเองโดยใช่เหตุ ดังนั้นจะต้องเตือนใจไว้เสมอเวลาเราจะเริ่มต้นทำตามความฝันว่าอย่าทำให้ยุ่งยากและไม่ต้องเน้นความสมบูรณ์นะครับ

ประเด็นต่อมาคือเราไม่ต้องเริ่มต้นใหม่เสมอครับ การจะทำอะไรก็ตาม เรามักจะพบว่ามีผู้อื่นเขาเริ่มต้นหรือทำไว้ก่อนแล้วครับ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเริ่มต้นจากศูนย์ด้วยตนเองทุกครั้ง หลายสิ่ง หลายอย่าง เราอาจจะหาได้ด้วยการเช่า การยืม การให้ผู้อื่นช่วยคิด ช่วยทำ แล้วท่านผู้อ่านอาจจะพบว่าในหลายสิ่งหลายอย่างที่เราคิดว่าจะต้องทำเอง จะต้องเริ่มต้นใหม่นั้น จริงๆ แล้วมีผู้อื่นเขาทำหรือศึกษาค้นคว้าไว้ก่อนแล้ว เราเพียงแค่นำมาปรับใช้ให้เข้ากับสิ่งที่จะทำเท่านั้นเองครับ

ข้อเสนอแนะถัดมาคือให้บอกผู้อื่นด้วยว่าท่านกำลังหรือได้เริ่มทำแล้ว ท่านผู้อ่านอาจจะแปลกใจนะครับว่าทำไมถึงแนะนำอย่างนั้น เนื่องจากถ้าเป็นการเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ อาจจะถูกลอกเลียนความคิดได้ง่าย แต่จริงๆ แล้วเราจะพบครับว่าการบอกให้ผู้อื่นทราบว่าเรากำลังจะ หรือ กำลังทำในสิ่งใดนั้น การบอกกับผู้อื่นไว้ก็เสมือนกับการให้คำสัญญากับผู้อื่นว่าเรากำลังจะทำอะไร และเรามักจะมีความรู้สึกอยู่เบื้องลึกว่าเมื่อเราบอกผู้อื่นแล้ว เราก็จะต้องทำสิ่งนั้นให้ประสบความสำเร็จ และนอกจากนี้เมื่อเราบอกผู้อื่นแล้ว สิ่งที่เรามักจะพบก็คือ บุคคลอื่นก็จะเริ่มตั้งคำถามและให้ความเห็น โดยการตั้งคำถามนั้นก็เสมือนกับการเป็นกระจกเงาสะท้อนอย่างดี อีกทั้งเมื่อผู้อื่นทราบแล้ว ผู้อื่นก็จะสามารถให้การสนับสนุนเราได้เป็นอย่างดี

ประการสุดท้ายคือต้องบอกผู้อื่นด้วยครับว่าท่านต้องการการสนับสนุนในด้านใดบ้าง ซึ่งจะช่วยทำให้ผู้อื่นเขาสามารถช่วยเหลือหรือให้คำแนะนำในสิ่งที่ท่านต้องการได้อย่างตรงประเด็น ผมเองก็ได้เคยเจอประสบการณ์ในเรื่องนี้มาเหมือนกันครับ นั้นคือหลังจากนำเสนอแผนงานของหน่วยงานตนเองเสร็จสิ้น ถ้าจบลงเพียงแค่นั้นผู้ฟังก็จะเพียงแค่ปรบมือแล้วก็จบ แต่ถ้าตอนท้ายมีการทิ้งท้ายว่าเราต้องการความช่วยเหลือ หรือ มีช่องทางใดบ้างที่ผู้อื่นสามารถเข้ามาช่วยเหลือและสนับสนุนได้ ก็จะช่วยให้ผู้อื่นเขาสามารถให้คำแนะนำและช่วยเหลือสนับสนุนได้อย่างตรงจุดมากขึ้น

หลักการเบื้องต้นทั้งห้าประการไม่ยากนะครับ ถือเป็นจุดเริ่มต้นง่ายๆ ในการที่ท่านจะทำให้สิ่งที่ท่านฝันได้เกิดการลงมือกระทำขึ้นมาจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ฝันไว้เฉยๆ เท่านั้น ลองนำหลักทั้งห้าข้อไปปรับใช้ดูนะครับ