
6 April 2011
ท่านผู้อ่านทราบไหมครับว่าเมื่อวันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่เกิดขึ้นกับยักษ์ใหญ่ในวงการ IT อย่าง Google และการเปลี่ยนแปลงนั้นคืออะไร?? ท่านผู้อ่านคงไม่เปิดเข้าไปดูที่เว็บ Google หรอกครับ เพราะการเปลี่ยนแปลงนี้ถึงแม้จะสำคัญมากต่อ Google แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงในเบื้องหลังของ Google มากกว่าเบื้องหน้า แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็ถือว่ากระเทือนต่อยักษ์ใหญ่อย่าง Google พอสมควร รวมทั้งจะส่งผลต่อวงการไอทีต่อไปในอนาคตด้วยครับ นั้นคือ การเปลี่ยนตัวผู้บริหารสูงสุดของ Google จาก Eric Schmidt เป็น Larry Page สำหรับท่านผู้อ่านที่คุ้นเคยกับ Google ดีก็คงทราบนะครับว่า Page เป็นหนึ่งในสองของผู้ก่อตั้ง Google ร่วมกับ Sergey Brin เมื่อปี 1999 ส่วน Schmidt นั้นเป็นผู้บริหารมืออาชีพที่ทั้ง Page และ Brin เชิญมาช่วยบริหารและขยายกิจการของ Google จนกระทั่งใหญ่โตเช่นในปัจจุบัน ที่มีพนักงานกว่า 24,000 คน และ มีรายได้เกือบ $30 billion ต่อปี
ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยนะครับว่าทำไม Google ต้องเปลี่ยน CEO ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอาผู้ก่อตั้งธุรกิจ ที่ไม่เคยเป็น CEO ที่ไหนมาก่อน มาทดแทนผู้บริหารมืออาชีพที่ทำให้ Google เติบโตมาได้เช่นทุกวันนี้ เนื่องจากการที่เจ้าของหรือผู้ก่อตั้งที่จะย้อนกลับมานั่งตำแหน่ง CEO นั้นก็มักจะเป็นต่อเมื่อบริษัทมีปัญหาเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีของ Jobs กับ Apple หรือ Michael Dell กับ Dell หรือ Howard Schultz กับ Starbucks ดังนั้นคำถามที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อทราบข่าวถึงการเปลี่ยนแปลงใน Google ก็คือ Google กำลังประสบกับปัญหาอะไรอยู่หรือเปล่า??
จริงๆ แล้วด้วยรายได้เกือบสามหมื่นล้านเหรียญต่อปีนั้น คงไม่ถือว่า Google กำลังประสบกับปัญหาอยู่ในปัจจุบันนะครับ แต่สิ่งที่สองผู้ก่อตั้งของ Google มองเห็นก็คือ Google ได้เติบโตจากการเป็นองค์กรขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยบรรยากาศของการเป็นผู้ประกอบการ เป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่มีระบบในการบริหารจัดการต่างๆ เช่นบริษัทใหญ่ทั่วไป มีระบบการทำงาน สายการบังคับบัญชาที่เริ่มชัดเจนและเป็นระบบให้ ซึ่งในเชิงข้อดีน้ันก็คือการมีระบบต่างๆ ที่ชัดเจนขึ้น ส่วนข้อเสียก็คือการเป็นองค์กรขนาดใหญ่และมีระบบนั้นก็ทำให้บริษัทสูญเสียบรรยากาศของความเป็นผู้ประกอบการไป
นอกเหนือจากการเป็นองค์กรขนาดใหญ่แล้ว Google ยังเริ่มมองเห็นถึงภาวะการแข่งขันและปัญหาที่กำลังจะมาในระยะเวลาอันไม่ไกลนัก ถึงแม้ Google จะมีรายได้เกือบสามหมื่นล้าน แต่รายได้ส่วนใหญ่ก็มาจากการโฆษณาผ่านทาง Search Engine ของเขา ในขณะที่คู่แข่งที่มาแรงในปัจจุบันอย่างเช่น Facebook ซึ่งเป็นองค์กรที่มีขนาดเล็กกว่าและยังอุดมไปด้วยบรรยากาศของความเป็นผู้ประกอบการ ก็เริ่มที่จะแย่งเม็ดเงินค่าโฆษณาผ่านอินเตอร์เน็ตจาก Google ไป นอกจากนี้แย่งลูกค้าไปแล้ว วิศวกรและนักเทคนิคมีฝีมือหลายคนจาก Google ก็เริ่มตีจาก Google ไปทำงานที่ Facebook รวมทั้งบริษัทที่เพิ่งต้นธุรกิจรายอื่นๆ
นอกจาก Facebook ที่เข้ามาแย่งรายได้โฆษณาจาก Google แล้ว ในธุรกิจต่างๆ ที่ Google ดำเนินงานอยู่ ก็ล้วนแล้วแต่มีคู่แข่งที่ถือว่าน่ากลัวทั้งสิ้นครับ ไม่ว่าจะเป็น Microsoft หรือ Apple นอกจากปัญหาจากคู่แข่งขันแล้ว ผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมที่ Google พัฒนาขึ้นมาในช่วงหลังๆ ก็ไม่ค่อยจะโดนตลาดเท่าไรครับ ไม่ว่าจะเป็น Google Buzz หรือ Wave ทำให้ในช่วงหลังเริ่มมีคำถามเข้ามามากขึ้นถึงแหล่งรายได้ของ Google ครับว่านอกเหนือจากรายได้จากค่าโฆษณาแล้ว Google จะหาทางเพิ่มรายได้ขึ้นไปในอนาคตได้อย่างไร
สิ่งที่ Larry Page จะเข้ามาช่วย Google ได้นั้นก็คือพื้นฐานทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่แข็งแกร่ง รวมทั้งสไตล์การทำงานที่มีลักษณะของความเป็นผู้ประกอบการมากกว่าความเป็นมืออาชีพอย่าง Schmidt สิ่งที่คนในวงการคาดหวังกันไว้ก็คือสายการบังคับบัญชาต่างๆ ใน Google จะหดสั้นลง บรรดาชาว Google จะสามารถเข้าถึง CEO ของเขาได้สะดวกและง่ายขึ้น สิ่งที่ Page เริ่มทำก็คือให้บรรดาวิศวกรของ Google ส่ง e-mail มาหาเขาพร้อมทั้งนำเสนอไอเดียของบริการต่างๆ ที่กำลังทำกันอยู่ เพื่อที่เขาจะได้พิจารณาว่าโครงการไหนที่น่าสนใจและมีความเป็นไปได้ จะได้ทุ่มทรัพยากรเข้าไปอย่างเต็มที่ ซึ่งทั้งหมดนั้นก็เพื่อทำให้การตัดสินใจต่างๆ ภายใน Google เป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น และทำให้ความคิดใหม่ๆ ที่ดีสามารถรับรู้และได้รับการส่งเสริมอย่างรวดเร็วและทันท่วงที
นอกจากนี้ประโยชน์อย่างหนึ่งที่คาดว่าจะได้จาก Page ก็คือการดึงคนเก่งๆ ไว้ใน Google โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาเจ้าของกิจการต่างๆ ที่ Google ไปซื้อมา เนื่องจากในระยะหลัง Google เองก็ประสบปัญหาของคนเหล่านี้ที่หนีไปอยู่ที่อื่น ดังนั้นหวังกันว่าการมีผู้บริหารสูงสุดเป็นเจ้าของกิจการเอง จะสามารถดึงบรรดาเจ้าของกิจการต่างๆ ให้อยู่ได้ดีกว่าการมีผู้บริหารสูงสุดเป็นผู้บริหารมืออาชีพ
Larry Page จะประสบความสำเร็จแค่ไหนในการเป็นผู้บริหารสูงสุดของ Google ก็คงต้องคอยดูต่อไปนะครับ