
27 December 2010
แนวโน้มทางด้านการบริหารจัดการที่สำคัญในปี 2553 ที่ผ่านมา และเชื่อว่าจะส่งผลต่อในปี 2554 นี้คือเรื่องของเครือข่ายสังคมออนไลน์หรือ Social Network ครับ และแนวโน้มที่สำคัญของเครือข่ายสังคมออนไลน์ก็คือการปรับเปลี่ยนจากการเป็นเพียงแค่สถานที่ในการแสดงความคิดเห็น ระบายความในใจ หรือ ปรับทุกข์ เป็นช่องทางที่ผู้บริหารในระดับต่างๆ จะใช้ในการสื่อสารกับทั้งพนักงานและลูกค้า ที่สำคัญก็คือช่องทางในการสื่อสารดังกล่าวจะทำให้เปลี่ยนจากการสื่อสารทางเดียวเป็นการสื่อสารแบบสองทางที่เปิดโอกาสให้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารกับพนักงาน หรือ ลูกค้าได้มากขึ้น
จากสถิติพบว่าปัจจุบันมีคนกว่า 600 ล้านคนทั่วโลกที่ใช้ Facebook เป็นประจำ และกว่า 300 ล้านคนท่ีใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงต่อวันอยู่บน Facebook นอกจากนี้อีกแนวโน้มหนึ่งที่น่าสนใจก็คือกลุ่มประชากรที่อายุเกิน 40 ปีเริ่มใช้ Facebook กันอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น นอกจาก Facebook แล้ว อีกประมาณ 200 ล้านคนที่ใช้ Twitter อยู่เป็นประจำ และอีกประมาณ 100 ล้านคนที่ใช้ LinkedIn (เป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่จับกลุ่มคนทำงานเป็นหลักครับ)
แนวโน้มสำคัญที่พบในปีที่ผ่านมาคือบรรดาผู้นำต่างๆ ทั้งผู้นำระดับประเทศ (เห็นได้จากบรรดานักการเมืองต่างๆ ของไทย) และผู้นำองค์กรชั้นนำของโลก ไม่ว่าจะเป็น IBM, PepsiCo, Apple, Microsoft หรือแม้กระทั่งคณบดีของ Harvard Business School ก็ต่างใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์กันอยู่เป็นประจำ โดยการใช้ประโยชน์หลักๆ นั้นก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของการสื่อสาร การส่งข่าวคราวต่างๆ ครับ เนื่องจากปัจจุบันทุกคนสามารถโพสต์ข้อความลงบนเครือข่ายเหล่านี้ได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ และสามารถแบ่งปันข้อความหรือสารเหล่านี้ให้กับทั้งพนักงาน และ ลูกค้า ได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านสื่อสารมวลชนใดๆ รวมทั้งผู้รับเองก็เกิดความรู้สึกที่ดีเนื่องจากได้รับสารโดยตรงจากผู้ส่งสาร
นอกจากนี้ในเชิงของการบริหารองค์กร เครือข่ายสังคมออนไลน์ยังช่วยทำให้องค์กรมีลักษณะที่แบนราบลงอีกด้วย เนื่องจากในสังคมออนไลน์นั้นทุกคนมีความเท่าเทียมกัน ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ หรือ แบ่งตามตำแหน่งแต่ประการใด ซึ่งผู้ที่อาจจะได้รับผลกระทบมากที่สุดในองค์กรจากเครือข่ายสังคมออนไลน์ก็จะหนีไม่พ้นกลุ่มผู้บริหารระดับกลางครับ เนื่องจากในหลายๆ องค์กรผู้บริหารระดับกลางมักจะทำหน้าที่ในการส่งสารหรือสื่อสารจากผู้บริหารระดับสูงไปยังระดับต้น หรือ จากระดับต้นไปยังระดับสูง ดังนั้นเมื่อมีเครือข่ายสังคมออนไลน์เกิดขึ้น ผู้บริหารและบุคลากรในแต่ละระดับสามารถที่จะสื่อสารถึงกันได้ตรงและเร็วขึ้น ทำให้ผู้บริหารระดับกลางต้องปรับเปลี่ยนบทบาทของตนเองไปให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมในการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป
นอกเหนือจากเรื่องของการบริหารจัดการแล้ว เครือข่ายของสังคมออนไลน์ยังทำให้รูปแบบของการทำการตลาดเปลี่ยนไป ท่านผู้อ่านลองสำรวจชั้นหนังสือทางด้านการจัดการต่างๆ แล้วจะพบว่าปัจจุบันหนังสือการทำการตลาดผ่านทางเครือข่ายเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือ Twitter ผุดขึ้นมายังกับดอกเห็ด บริษัทจำนวนมากที่ปรับกิจกรรมและงบประมาณทางด้านการตลาด จากการทำการตลาดรูปแบบเดิมสู่การทำการตลาดผ่านทางสังคมออนไลน์มากขึ้น ล่าสุดมีการจัดอันดับแบรนด์ที่ถือว่ามีพลังมากที่สุดบน Facebook กันด้วยครับ โดยวัดจากจำนวนคนที่มากดเป็น Fan ในหน้าของแต่ละแบรนด์ โดยในปีที่ผ่านมาแบรนด์อันดับต้นๆ ได้แก่ Facebook, YouTube, Coca-Cola, Starbucks, Oreo, Disney, Skittles, RedBull, MTV และ Converse สำหรับของเมืองไทยนั้นยังไม่ได้มีการสำรวจดูนะครับว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการใดที่มี fan ใน Facebook มากที่สุด แต่กรณีของต่างประเทศที่ผมนำมาเสนอนั้นเป็นหลักยี่สิบถึงสามสิบล้านเลยครับ
คราวนี้ลองมาดูสถิติต่างๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับเครือข่ายสังคมออนไลน์กันบ้างนะครับ ในรอบปีที่ผ่านมามีการส่งข้อความผ่านทาง Tweeter 50 ล้านข้อความต่อวัน ในขณะที่ในแต่ละเดือนจะมีการใช้เวลาอยู่บน Facebook รวมแล้ว 700 Billion นาที เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง Facebook กับ Google แล้ว พบว่าจำนวนคนที่เข้าเว็บ Facebook ในปีที่ผ่านมาเริ่มจะมากกว่า Google ในขณะที่กว่าร้อยละ 95 ของบริษัทต่างๆ ที่ใช้ LinkedIn ในการรับสมัครและสรรหาพนักงานใหม่ และการเข้าบรรดาเว็บเครือข่ายสังคมออนไลน์ต่างๆ โดยผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้นเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
แนวโน้มที่สำคัญสำหรับเรื่องของ Social Media ในปีหน้านั้น ก็คงจะหนีไม่พ้นการมุ่งเน้นและบูรณาการของ Social Media ในด้านต่างๆ มากขึ้น บริษัทต่างๆ ที่ใช้ Social Media เพื่อการประชาสัมพันธ์นั้น ในปีหน้าคงจะไม่ได้ทำเพื่อการประชาสัมพันธ์เพียงอย่างเดียว แต่คงจะมีการบูรณาการให้เข้ากับการทำงานในทุกๆ ด้าน นอกจากนี้จากพัฒนาการของ Tablet ที่มีรุ่นใหม่ๆ ออกมามากขึ้น ก็จะยิ่งทำให้การเชื่อมต่อกับทางสังคมเครือข่ายออนไลน์เป็นแบบตลอดเวลาและสะดวกยิ่งขึ้น อีกแนวโน้มที่สำคัญคือเรื่องของ Location-Based Networking ที่ในปีที่ผ่านมาทาง Foursquare ได้สร้างปรากฎการณ์ในเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างโดดเด่น ในปีนี้คงจะเห็นการเข้ามาเล่นในเรื่องนี้อย่างเต็มตัวจากทางฝั่ง Facebook เองมากขึ้น
ก็ขอฝากเป็นแนวโน้มเล็กๆ น้อยๆ นะครับ เอาไว้ต้นปีหน้าเรามาดูกันอีกทีว่าแนวโน้มเหล่านี้จะเป็นจริงมากน้อยเพียงใด