
17 September 2010
ในช่วงที่ผ่านมา ท่านผู้อ่านรู้สึกว่าสมาธิในการอ่านหนังสือ หรือ สมาธิในการทำงานของท่านสั้นลงบ้างไหม?? การนั่งทำงานนานๆ กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยไม่ถูกรบกวน หรือ ความสามารถในการคิดเชิงลึก หรือ คิดสร้างสรรค์ของเราลดน้อยลง เมื่อเรานั่งอ่านหนังสือหรือบทความนานๆ เราจะไม่สามารถนั่งอ่านนิ่งๆ ได้นานเหมือนอดีต อ่านไปได้เพียงแค่ไม่กี่หน้า เราก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบไปดูมือถือว่ามีอีเมลมาบ้างไหม หรือ เหลือบไปดูหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อเช็คเมลหรืออ่าน Twitter หรือ อ่าน Facebook หรือแม้กระทั่งไม่สามารถทนนั่งอ่านจนจบ จะต้องหาเรื่องลุกไปทำอย่างอื่นหรือพลิกไปเพื่ออ่านแบบเร็วๆ
ถ้าท่านมีลักษณะข้างต้น ก็ขอต้อนรับสู่ยุคอินเตอร์เน็ตอย่างแท้จริงครับ ประโยชน์ของอินเตอร์เน็ตนั้นมีมากมายนับไม่ถ้วน ในขณะเดียวกันหลายๆ คนก็ถือว่าอินเตอร์เน็ตเป็นเทคโนโลยีที่สำคัญที่เปลี่ยนแปลงโลกพอๆ กับเทคโนโลยีด้านการพิมพ์ อย่างไรก็ดีทุกอย่างต้องมีสองด้าน ดังนั้นเมื่ออินเตอร์เน็ตมีข้อดีมากมายแล้ว ข้อเสียก็มีเช่นเดียวกันครับ และข้อเสียประการหนึ่งที่อาจจะส่งผลกระทบกับเราโดยที่เราไม่รู้ตัวก็คือผลกระทบของอินเตอร์เน็ตที่มีต่อการทำงานของสมอง และเริ่มมีคนตั้งข้อสงสัยแล้วว่าอินเตอร์เน็ตทำให้เราโง่ลงจริงหรือไม่?
ในหนังสือชื่อ The Shallows เขียนโดย Nicholas Carr ระบุไว้อย่างน่ากลัวเลยครับว่าอินเตอร์เน็ตทำให้โครงสร้างของเซลประสาทในสมองเราเปลี่ยนไป โดย Carr ยกตัวอย่างว่าโครงสร้างของเซลประสาทในสมองของคนที่อ่านหนังสือออกและผู้ที่อ่านหนังสือไม่ออกนั้นต่างกัน ดังนั้นถ้าเทคโนโลยีในการพิมพ์ทำให้โครงสร้างเซลประสาทของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป เทคโนโลยีดิจิตอลจะส่งผลให้โครงสร้างเซลประสาทของเราเปลี่ยนไปด้วยหรือไม่?? ข้อเสนอของ Carr นั้นก่อให้เกิดข้อถกเถียงมากมาย มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ไม่ว่าโครงสร้างเซลประสาทของเราเปลี่ยนไปเพราะอินเตอร์เน็ตหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ก็คือวิธีการในการคิด สมาธิ และความคิดสร้างสรรค์ของเราเปลี่ยนไปเพราะอินเตอร์เน็ตแน่ๆ
เราต้องยอมรับความจริงว่าอินเตอร์เน็ตเป็นสิ่งที่รบกวนสมาธิเราในการทำงานและทำให้สมาธิของเราแตกเป็นส่วนย่อยๆ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว ความสามารถในการจดจำ ในการคิด และการสร้างสรรค์นั้นขึ้นอยู่กับสมาธิของเรา ในขณะที่เราทำงานอย่างมีสมาธินั้น ทำให้เราสามารถคิดได้อย่างลึกซึ้งและสร้างสรรค์ แต่ในการใช้อินเตอร์เน็ตนั้น เราจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาระหว่างหน้าต่างๆ ตลอดเวลา อีกทั้งถ้าเราเปิดเน็ตไปพร้อมกับการทำงานไปด้วย เราก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปเช็คเมล เช็คข่าว หรือ เช็คเครือข่ายสังคมออนไลน์ของเราอยู่ตลอดเวลา ทำให้การทำงานของสมองเราต้องกระโดดไปกระโดดมาระหว่างสิ่งต่างๆ ตลอดเวลาอย่างรวดเร็ว และส่งผลให้การคิดของเรานั้นเป็นแบบอัตโนมัติมากกว่าคิดแบบลึก
ปัจจุบันผู้ปกครองจำนวนมากสนับสนุนให้เด็กๆ เล่นเกมคอมพิวเตอร์หรือใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อในการพัฒนาเด็ก ซึ่งก็มีข้อดีนะครับ แต่ข้อเสียก็คือกลายเป็นการฝึกให้สมองของเด็กสมัยใหม่คิดได้เร็ว แต่คิดได้ตื้น การให้ลูกนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา ไม่ได้ทำให้เด็กมีพัฒนาการของสมองที่ดี มีความคิดสร้างสรรค์ พอมาวัยโตขึ้นก็เช่นเดียวกันครับ ปัจจุบันเราจะพบนิสิต นักศึกษาจำนวนมากที่เปิดโน๊ตบุ๊คไปพร้อมๆ กับการเรียนหนังสือในห้องเรียน โดยส่วนใหญ่นั้นมักจะเปิดเพื่อจดบันทึก หรือ เพื่อคุยกับคนอื่นผ่านทางเครือข่ายออนไลน์ หรือ การเปิดเพืื่อคอยหาข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียน แต่ผลการวิจัยที่มหาวิทยาลัย Cornell ซึ่งมีการแบ่งนักศึกษาเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกให้ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อค้นหาข้อมูลในเน็ตได้ในระหว่างเรียน กับ อีกกลุ่มที่ให้นั่งฟังการบรรยายเดียวกันแต่ไม่ให้เปิดคอมพิวเตอร์ หลังจากฟังการบรรยายจบก็มีการทดสอบทันทีว่านักศึกษาสามารถจดจำและเข้าใจเนื้อหาที่บรรยายได้มากน้อยเพียงใด พบว่านักศึกษาที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์นั้นมีผลการทดสอบออกมาแย่กว่าพวกที่ไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์อย่างมากมายทุกคนเลยครับ ไม่ว่าพวกที่ใช้คอมพิวเตอร์นั้นจะใช้เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียนหรือไม่
มีงานวิจัยอีกชิ้นครับที่พบว่าผู้ที่อ่านข้อมูลทางเน็ต โดยเฉพาะเนื้อหาที่มี Hyperlink ไปยังหน้าอื่นเยอะๆ (เหมือนกับใน Wiki) จะมีความเข้าใจในเนื้อหาที่อ่านน้อยกว่าผู้ที่อ่านตำราแบบเดิม แสดงว่าการอ่านข้อมูลในเน็ตที่สามารถเชื่อมจากหน้าหนึ่งไปอีกหน้าหนึ่งได้อย่างง่ายดายนั้นกลับทำให้ผู้อ่านขาดสมาธิและมัวแต่คอยกระโดดจากหน้าหนึ่งไปยังหน้าอื่นๆ ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอีกชิ้นที่มหาวิทยาลัย Stanford ที่ชี้ให้เห็นว่าพวกที่ทำงานหลายๆ อย่างพร้อมกันหรือที่เรียกว่า Multitasker นั้นมีผลการทำงานในงานแต่ละชิ้นต่ำกว่าพวกที่ทำงานทีละอย่าง แถมเมื่อเราปิดคอมพิวเตอร์ไปเรียบร้อยแล้ว พฤติกรรมหรือนิสัยที่จะถูกดึงดูดด้วยสิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดายก็จะติดตัวเราไปด้วย สุดท้ายแล้วเราก็จะเป็นคนที่มีสมาธิสั้น ไม่สามารถทำงานต่างๆ ได้ลึกเช่นในอดีต
อินเตอร์เน็ตมีข้อดีหลายประการ แต่ข้อเสียก็มีนะครับ ดังนั้นผมว่าเราควรจะเรียนรู้และคอยป้องกันตนเองจากข้อเสียเหล่านี้ ถ้าท่านผู้อ่านเริ่มพบว่าตนเองอ่านหนังสือหรือทำงานด้วยสมาธิที่ลดน้อยลง และจะต้องคอยเช็คข้อมูลต่างๆ ผ่านทางเทคโนโลยีใหม่ๆ ตลอดเวลา ก็อาจจะต้องคอยปิดการติดต่อจากโลกภายนอกบ้างนะครับ บางครั้งการที่ไม่ได้ไปตอบความเห็นของเพื่อนใน Facebook หรือ การตอบอีเมลอย่างรวดเร็ว หรือ ไปอ่านข่าวล่าสุดใน Twitter คงไม่ได้ทำให้โลกแตกลงได้ แต่ถ้างานที่เราทำไม่เสร็จ หรือ ออกมาไม่ดี เนื่องจากสมาธิเราถูกดึงดูดด้วยสิ่งต่างๆ ตลอดเวลา อาจจะทำให้เรามีปัญหาในการทำงานได้นะครับ ท่านผู้อ่านอาจจะต้องเลือกนะครับว่าจะเอาอะไร อย่าลืมว่าเรามีสิทธิ์ที่จะเลือกใช้เทคโนโลยีนะครับ ไม่ใช่เทคโนโลยีมาเป็นเจ้าชีวิตเรา