23 June 2010

            เมื่อไม่นานมานี้ทาง IBM ได้มีการแถลงผลจากการสำรวจผู้บริหารสูงสุดทางการเงินทั่วโลก สัปดาห์นี้ผมเลยขอนำผลการสำรวจอีกชิ้นหนึ่งของ IBM ที่น่าสนใจมาฝากท่านผู้อ่านกันครับ โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทาง IBM ได้มีการทำการสำรวจ CEO ทั่วโลก เพื่อสอบถามถึงแนวโน้มต่างๆ ทางด้านการบริหารการจัดการที่น่าสนใจ โดยในปี 2010 ที่ผ่านมา ทาง IBM ได้มีการสำรวจ โดยการสัมภาษณ์ CEO และผู้บริหารระดับสูงขององค์กรต่างๆ กว่า 1,500 คน ใน 60 ประเทศทั่วโลก จากผลการสำรวจของ IBM นั้น แนวโน้มสำคัญที่ผู้บริหารระดับสูงจากทั่วโลก มองเหมือนกันก็คือเรื่องของสภาวะแวดล้อมในการดำเนินงานที่มีความสลับซับซ้อน หรือ Complexity มากขึ้นทุกขณะ

            จริงอยู่นะครับที่สภาวะแวดล้อมในการดำเนินงานขององค์กรธุรกิจนั้นมีความสลับซับ ซ้อนอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าบรรดาผู้บริหารทั่วโลกต่างลงความเห็นตรงกันว่าในการดำเนินงานต่อไปในอนาคตนั้น ระดับของความสลับซับซ้อนนั้นจะทวีมากขึ้นทุกขณะ นอกจากนี้ความซับซ้อนของสภาวะแวดล้อมในการดำเนินงานยังส่งผลต่อเรื่องของความเชื่อมโยงและสัมพันธ์ของแต่ละปัจจัยอีกด้วย ตัวอย่างของความซับซ้อนและความเชื่อมโยงของปัจจัยภายนอกนั้น เช่น เรื่องของภาวะเศรษฐกิจ ที่ท่านผู้อ่านจะเห็นถึงความซับซ้อนที่ทวีขึ้นอีกทั้งความเชื่อมโยงของภาวะเศรษฐกิจของภูมิภาคต่างๆ บรรดาผู้บริหารระดับสูงจำนวนมากเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกันนะครับว่าตนเองมีสมรรถนะและมีความพร้อมพอที่จะบริหารองค์กรภายใต้สภาวะแวดล้อมที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงเช่นในปัจจุบัน

            เพื่อรองรับต่อสภาวะแวดล้อมที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงนั้น บรรดาผู้บริหารระดับสูงต่างๆ มองว่าคุณสมบัติที่สำคัญสำหรับคนที่จะเป็นผู้บริหารหรือผู้นำองค์กรในอนาคตนั้นคือเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ ผู้นำในอนาคตต้องมีลักษณะเป็น Creative Leadership มากขึ้น เพื่อให้ทั้งผู้นำ และตัวองค์กรสามารถสร้างสรรค์และปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมที่ซับซ้อนมากขึ้น ผู้นำที่เป็น Creative Leader นั้น ตัวผู้บริหารจะต้องกระตุ้นและสนับสนุนให้เกิดการทดลอง การลองผิด ลองถูกภายในองค์กร เพื่อที่จะทำให้บุคลากรสามารถคิดนอกกรอบและได้ทดลองในสิ่งใหม่ๆ ผู้นำที่เป็น Creative Leader นั้น จะกล้าที่จะเสี่ยง การหาไอเดียหรือแนวคิดใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญคือผู้นำที่เป็น Creative Leader นั้นจะพยายามแสดงหาแนวทางใหม่ๆ ในการบริหารและการสื่อสารภายในองค์กร

            ปัจจัยที่สำคัญประการที่สองซึ่งสำคัญต่อการรองรับสภาวะแวดล้อมที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกันมากขึ้น ก็คือองค์กรที่จะประสบความสำเร็จนั้น จะต้องมีความใกล้ชิดและดึงเอาลูกค้าเข้ามาอยู่ในกระบวนการคิดและกระบวนการทำงานขององค์กร ถึงแม้ในอดีตผู้บริหารองค์กรจำนวนมากจะให้ความสำคัญกับลูกค้า และมุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอยู่แล้ว แต่ถ้าองค์กรต้องการที่จะประสบความสำเร็จในอนาคต องค์กรจะต้องดึงลูกค้าเข้ามามีส่วนในการพัฒนาสินค้าและบริการมากยิ่งขึ้น แบบที่เรียกว่าเป็น Co-Creation เนื่องจากการให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วม ในกระบวนการพัฒนาสินค้าและบริการนั้น จะทำให้สินค้าหรือบริการที่ออกมาตรงตามความต้อง การของลูกค้ามากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันองค์กรชั้นนำจำนวนมากก็ได้ให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมในการ พัฒนาสินค้าและบริการมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านทางสื่อ Social Network ต่างๆ นอกจากนี้การให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการหลักขององค์กรมากขึ้นนั้น ก็จะทำให้องค์กรธุรกิจได้รับข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าโดยตรงและข้อมูลเหล่านี้ก็จะกลับมาเป็นข้อมูลที่มีค่าสำหรับองค์กร

            สุดท้ายสิ่งที่ผู้บริหารระดับสูงจะต้องทำต่อไปในอนาคตก็คือการปรับกระบวนการในการทำงานต่างๆ ในองค์กรให้มีความง่าย คล่องตัว และยืดหยุ่นมากขึ้น อีกทั้งองค์กรยุคใหม่จะต้องไม่ยึดติดอยู่กับรูปแบบการดำเนินเดิมๆ และ พร้อมที่จะเสาะแสวงหาทรัพยากรต่างๆ ที่สำคัญสำหรับองค์กรได้จากทั่วโลก ทั้งนี้เนื่องจากในภาวะที่สภาวะแวดล้อมในการดำเนินงานมีความซับซ้อนมากขึ้น องค์กรจะยิ่งต้องมีความคล่องตัวและยืดหยุ่นในการทำงานมากขึ้น

            ท่านผู้อ่านพอจะเห็นได้นะครับว่าจากความเห็นของบรรดา CEO จากทั่วโลกนั้น สภาวะแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจจะมีแต่ความซับซ้อน (Complexity) มากขึ้นทุกขณะ ดังนั้นผู้นำยุคใหม่จะต้องเป็น Creative Leader อีกทั้งต้องมีการให้ลูกค้าได้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการ ทำงานหลักขององค์กรมากขึ้น และองค์กรจะต้องมีความยืดหยุ่นและคล่องตัวเพื่อรองรับต่อความ ซับซ้อนของสภาวะแวดล้อมทำงานที่จะทวีมากขึ้นในอนาคต