6 June 2010

จากสถานการณ์บ้านเมืองในช่วงที่ผ่าน จนถึงปัจจุบันอาจจะทำให้คนไทยเครียด เป็นทุกข์ และระดับความสุขของพวกเราก็ลดน้อยลง ดังนั้นวันนี้จึงขอนำเสนอแนวทางต่างๆ ในการสร้างความสุขให้กับชีวิต โดยแนวทางต่างๆ ที่จะนำเสนอนั้นไม่ได้อยู่ดีๆ ก็อุปโลกน์ขึ้นมาเองนะครับ แต่เป็นแนวทางที่มาจากงานวิจัยที่พิสูจน์กันมาแล้ว เริ่มต้นจากความสัมพันธ์ระหว่างความสุขกับความสำเร็จครับ เรามักจะคิดว่าถ้าเราประสบความสำเร็จในอาชีพการงานหรือชีวิตส่วนตัวแล้วเราจะมีความสุข แต่ผลจากการวิจัยกลับพบข้อมูลที่แตกต่างกันครับ นั้นคือถ้าเรามีความสุขแล้วจะส่งผลทำให้เราประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีสุขภาพที่ดี และอายุยืน ดังนั้นถ้าเราอยากจะเห็นองค์กรหรือประเทศประสบความสำเร็จก็คงจะต้องเริ่มจากการทำให้คนในองค์กรหรือประเทศมีความสุขก่อนนะครับ

            คำถามสำคัญต่อมาก็คือความสุขมาจากไหน มีงานวิจัยอีกเช่นกันครับที่แสดงให้เห็นว่าระดับความสุขโดยรวมของแต่ละคนนั้นมีส่วนสำคัญมาจากพันธุกรรมหรืออยู่ในยีนของเราครับ โดยร้อยละ 50 ของการที่คนแต่ละคนจะมีความสุขหรือไม่นั้นมาจากการกำหนดโดยพันธุกรรม ซึ่งเราไม่สามารถไปเปลี่ยน แปลงได้ ในณะที่ร้อยละ 10 มาจากพื้นฐานและสภาวะแวดล้อมของแต่ละบุคคล เช่น ระดับการศึกษา ระดับรายได้ การสมรส ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถเปลี่ยนได้ในทุกวัน และร้อยละ 40 มาจากพฤติกรรม วิธีคิด และ สิ่งที่เราประสบ พบเจอในแต่ละวัน ดังนั้นถ้าเราอยากจะทำให้ชีวิตเรามีความสุขเพิ่มขึ้นได้ ก็ต้องไปมุ่งเน้นที่เจ้าร้อยละ 40 ที่เหลือนั้นแหละครับ

            ในปัจจุบันเรานิยมพูดถึงเรื่องของ Positive Thinking หรือการคิดเชิงบวกกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลายๆ คนก็มักจะคิดว่าถ้าเราคิดเชิงบวกมากขึ้น โดยลบสิ่งที่ทำให้เราทุกข์นั้นออกไปจากใจ ก็จะทำให้เรามีความเพิ่มขึ้น แต่ผลการวิจัยกลับออกมา ตรงกันข้ามครับ เนื่องจากพบว่าการที่เราพยายามขจัดความคิดที่เป็นทุกข์ หรือ ไม่สบายใจออกไปนั้น จริงๆ แล้วเราไม่ได้ขจัดหรอกครับ แต่เป็นการกดไว้มากกว่า และการที่เราพยายามที่จะกดความคิดอะไรไว้ก็ตาม ผลกลับเป็นไปในทางตรงกันข้ามนั้นคือเรากลับจะคิดถึงสิ่งเรานั้นมากขึ้น เหมือนถ้าผม (หรือท่านผู้อ่านบางท่าน) อยากจะลดน้ำหนัก และพยายามที่จะไม่คิดถึงช็อคโกแล็ตในตู้เย็น การไม่พยายามนึกถึงนั้นกลับจะยิ่งทำให้เราคิดถึงช็อคโกแล็ตมากขึ้น และสุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเดินไปหยิบมารับทานมากขึ้น สิ่งที่เขาแนะนำก็คืออย่าไปกดความทุกข์หรือความรู้สึกที่ไม่ดีเหล่านั้นครับ แต่ให้เบี่ยงเบนความสนใจไปสู่สิ่งอื่น จะทำให้เราลืมหรือไม่นึกถึงความทุกข์ดังกล่าว

            ทีนี้ถ้าเรามีความทุกข์หรือความไม่สบายใจเกิดขึ้น เราจะทำอย่างไร?? คนส่วนใหญ่เชื่อว่าการที่เราพูดคุยกับผู้อื่นเกี่ยวกับความทุกข์หรือความไม่สบายใจนั้น จะทำให้เรารู้สึกสบายใจมากขึ้น แต่ผลการวิจัยกลับออกมาในทางตรงกันข้ามเช่นเดียวกันครับ นั้นคือการพูดคุยนั้นไม่ได้ช่วยในการลดความทุกข์หรือเพิ่มความสุขแต่อย่างใด แต่วิธีการที่จะลดความทุกข์ได้นั้นอยู่ที่การเขียนหรือการบันทึกมากกว่าครับ โดยอาจจะอยู่ในรูปของบันทึกประจำวันหรือ Diary สั้นๆ ซึ่งมีงานวิจัยสนับสนุนครับว่าผู้ที่กำลังประสบความทุกข์ อย่างสาหัสนั้น การเขียนบันทึกประจำวันสั้นๆ อย่างสม่ำเสมอถึงความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ที่อยู่ภายใน จะช่วยทำให้บุคคลผู้นั้น พลิกฟื้นจากความทุกข์ได้อย่างดี รวมทั้งทำให้มีความสุขเพิ่มขึ้น

            ทั้งนี้ทั้งนั้นเนื่องจากการพูดกับการเขียนนั้นไม่เหมือนกันครับ เนื่องจากการพูดนั้นอาจจะไม่ได้ผ่านการเรียบเรียงความคิดและคำพูดที่ชัดเจน บางครั้งก็พูดจากสับสน คลุมเครือ แต่ในขณะเดียวกันการเขียนนั้นเป็นการบังคับกระบวนการคิดของเราให้มีระเบียบ มีเรื่องราวและโครงสร้างที่ชัดเจน สรุปง่ายๆ ก็คือการพูดนั้นอาจจะเพิ่มความสับสนในชีวิตเข้าไปอีก แต่การเขียนนั้นจะทำให้มีระบบมากขึ้น และถ้าท่านอยากจะเพิ่มความสุขมากขึ้น ก็อาจจะต้องเขียนมากขึ้น โดยเป็นการเขียนในลักษณะของการขอบคุณและชื่นชมต่อสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา เนื่องจากการแสดงความขอบคุณต่อสิ่งต่างๆ นั้น จะทำให้เรามีความสุขและมองอนาคตในแง่ดีมากขึ้น ดังนั้นการเขียนถึงสิ่งดีๆ เขียนเพื่อขอบคุณต่อเพื่อนหรือคนรู้จักต่อสิ่งดีๆ ที่มอบให้กัน การเขียนที่ถึงอนาคตที่ดี การเขียนถึงสิ่งดีๆ ของคนพิเศษ จะช่วยทำให้เรามีความสุขขึ้น โดยการเขียนเหล่านี้ท่านสามารถเขียนเป็นลักษณะของบันทึกส่วนตัววันละเรื่องๆ ไปเรื่อยๆ แล้วก็อาจจะพบกับความสุขมากขึ้น

            อีกแนวทางหนึ่งที่เรามักจะคิดว่าช่วยเพิ่มความสุขได้นั้นคือการซื้อเพื่อสร้างสุขครับ โดยเรามักจะคิดว่าถ้าเราใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อสิ่งของที่เราอยากจะได้แล้ว ความสุขก็จะเพิ่มขึ้น แต่ผลวิจัยกลับนำเสนอในอีกมุมมองหนึ่งครับ นั้นคือการซื้อประสบการณ์ กลับจะทำให้เรามีความสุขมากกว่าการซื้อสิ่งของครับ การซื้อประสบการณ์เช่น การท่องเที่ยว การรับทานอาหาร กลับจะทำให้เรามีความสุขมากกว่าการซื้อสิ่งของครับ ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อเราท่องเที่ยวหรือรับทานอาหารนั้นเรามักจะทำร่วมกับผู้อื่น อีกทั้งเมื่อเรากลับมาแล้วเราก็จะมีการบอกเล่าให้กับผู้อื่นฟัง ซึ่งการที่เราได้สังคมร่วมกับผู้อื่นผ่านทางประสบการณ์ต่างๆ ร่วมกันนั้น จะทำให้เรามีความสุขมากกว่าการซื้อสินค้ามาใช้ แล้วใช้อยู่คนเดียว ดังนั้นการเพิ่มความสุขของคนไทย และการกระตุ้นเศรษฐกิจของคนไทยก็น่าจะไปด้วยกันได้นะครับ นั้นคือการกระตุ้นให้คนไทยเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อให้ทั้งคนไทยมีความสุข และกระตุ้นธุรกิจการท่องเที่ยวไปในตัวด้วย