
13 March 2010
ท่านผู้อ่านมีความรู้สึกว่าในปัจจุบันบุคคลต่างๆ รอบๆ ตัวเราเกิดอาการเครียดกันมากขึ้นบ้างไหมครับ? จริงๆ โดยปกติการดำรงชีวิต โดยเฉพาะท่านที่อยู่ในเมืองใหญ่และต้องทำมาหากินหรือเรียนหนังสือก็เครียดพออยู่แล้ว ยิ่งสถานการณ์ความแตกต่างทางความคิดอันนำไปสู่ความแตกแยกที่เกิดขึ้นในระยะหลัง ก็ยิ่งทำให้คนเราเครียดกันมากขึ้น และยิ่งในปัจจุบันที่เราเสพรับสื่อต่างๆ อย่างปัจจุบันทันเหตุการณ์ ไม่ว่าจะผ่านเทคโนโลยีหรือเครือข่ายทางสังคมอันใด ก็ยิ่งทำให้เราเครียดมากขึ้น ท่านผู้อ่านเคยรู้สึกไหมครับว่าบางครั้งการดูข่าวหรือการรับรู้ข่าวกลับทำให้เราเครียดมากขึ้นด้วยซ้ำไป
จริงๆ แค่การดำรงชีวิตปกติก็ทำให้เราเครียดอยู่แล้วครับ มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจว่าเพียงแค่การกลับเข้าบ้านก็ทำให้ระดับความเครียดในตัวเราเปลี่ยนแปลงไป ท่านผู้อ่านลองเดาดูนะครับว่าเพศชายหรือเพศหญิงที่พอกลับบ้านแล้ว ระดับความเครียดเพิ่มขึ้น และเพศไหนที่เมื่อกลับบ้านแล้วระดับความเครียดจะลดลง? อย่าเพิ่งรีบอ่านเฉลยด้านล่างนะครับ ลองเดาดูก่อน
เชื่อว่าท่านผู้อ่านส่วนใหญ่น่าจะทายถูกนะครับ เพศชายเป็นเพศที่พอกลับบ้านแล้วระดับความเครียดจะลดลง เนื่องจากเหมือนได้กลับสู่แหล่งพักผ่อน สามารถผลักภาระ ความรับผิดชอบ และหน้าที่การงานทิ้งไว้นอกบ้าน (สุภาพสตรีบางท่านอาจจะบอกว่าพอกลับบ้านจะได้มีคนรับใช้) ส่วนเพศหญิงนั้นเป็นเพศที่เมื่อกลับจากงานมาที่บ้านแล้วระดับความเครียดจะเพิ่มขึ้น ซึ่งก็ไม่แปลกนะครับ เนื่องจากสุภาพสตรีส่วนใหญ่เมื่อกลับมาที่บ้านก็ต้องรับผิดชอบต่องานบ้าน ต่อสามี ต่อลูกๆ เผลอๆ อาจจะเครียดมากกว่าการทำงานนอกบ้านด้วยซ้ำไป
ความเครียดในชีวิตเราเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุนะครับ คงไม่ขอกล่าวถึงแล้ว แต่มาลองดูนะครับว่าในสถานการณ์ที่ชวนเคร่งเครียดเช่นในปัจจุบันเราจะมีวิธีการอย่างไรที่จะไม่ทำให้ความเครียดที่เกิดขึ้นส่งผลร้ายต่อสุขภาพของเรา เนื่องจากแพทย์เขาพบมานานแล้วครับว่าความเครียดนั้น ถ้ามีมากเกินไปจะทำให้ระดับของอดรีนาลีนในเลือดเราเพิ่มขึ้น ทำให้ระดับความดันโลหิตเพิ่มขึ้น และทำให้หัวใจของเราสูบฉีดเลือดออกมามากกว่าปกติ นอกจากนี้เมื่อเราเครียดโอกาสที่เส้นเลือดจะอุดตันก็มีมากขึ้น ที่สำคัญระดับของฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความเครียดก็เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลไม่ดีต่อเซลสมองของเรา และทำให้ความสามารถในการจำของเราลดน้อยลง
เมื่อเราพบเจอกับความเครียดนั้น โดยส่วนใหญ่แล้วเรามีโอกาสหรือปฏิกิริยาต่อความเครียดนั้นได้สองประการครับ ประการแรกคือการทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อเปลี่ยนสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียด เช่น ถ้าผู้ชายกลับมาบ้านแล้วแทนที่ความเครียดลดลง แต่กลับเพิ่มขึ้น เนื่องจากสาเหตุใดก็ตาม สิ่งที่ผู้ชายส่วนใหญ่ทำก็คือการไม่กลับบ้านหรือหาบ้านใหม่ ที่เมื่อไปแล้วความเครียดจะไม่เพิ่ม ประการที่สองคือการยอมรับและทำใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เนื่องจากปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเครียดนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมหรือไปทำอะไรได้ ดังนั้นก็เพียงแค่ทำใจและยอมรับต่อสภาพที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็เท่าที่สังเกตลักษณะของความเครียดของคนไทยรอบๆ ตัวผมในปัจจุบันเราจะพบว่าปัจจัยหลายๆ อย่างที่ก่อให้เกิดความเครียดนั้น เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา แต่แทนที่จะยอมรับและทำใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เรากลับบ่น แสดงความไม่พอใจ และเพิ่มความเครียดให้กับตนเองมากขึ้น ผมเองสังเกตจากการเข้าไปร่วมประชุมกับหลายๆ หน่วยงาน ก็จะพบว่าผู้เข้าร่วมประชุมมักจะมีความเครียดกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครียดต่อสิ่งที่ตนเองไม่สามารถควบคุมหรือจัดการกับมันได้
มีข้อแนะนำจากแพทย์เหมือนกันครับว่าเวลาพบเจอกับสิ่งที่ทำให้เครียดนั้น ให้เริ่มจากมีสติและลองถามคำถามตนเองง่ายๆ ก่อนสามคำถามครับ ซึ่งสามคำถามนี้จะช่วยให้เราใจเย็นและเครียดน้อยลงครับ คำถามแรกคือ “เรื่องนี้สำคัญจริงๆ หรือ?” ท่านผู้อ่านสังเกตซิครับว่าหลายครั้งที่เราเครียดในสิ่งที่ไม่สำคัญเลย เช่น ลูกกินข้าวหก ก็เริ่มโกรธและเครียดแล้ว แต่ถามว่าจริงๆ เป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ? ถ้าตอบคำถามแรกว่า “ใช่” ค่อยขยับไปคำถามที่สองครับ นั้นคือ “มันสมเหตุสมผลไหมที่เราจะต้องโกรธ ถ้าเป็นคนอื่นเขาจะโกรธเหมือนเราไหม?” ถ้าตอบว่าไม่ก็ต้องพยายามอย่าโกรธหรือเครียดครับ พยายามหาอย่างอื่น หรือสิ่งล่อใจอื่นๆ เพื่อให้ลืมเหตุการณ์นั้นไป แต่ถ้าตอบว่าใช่อีกค่อยไปสู่คำถามที่สามครับ คือ “เราสามารถเปลี่ยนเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นได้หรือเปล่า?” ถ้าตอบใช่ทั้งสามข้อ ค่อยกระโจนเข้าไปลงมือทำอะไรซักอย่างครับ แต่ถ้ามีคำตอบว่า “ไม่” ในข้อใดข้อหนึ่งก็ถอยออกมาแล้วอย่าไปเครียดเลยครับ ไม่ดีต่อสุขภาพของตัวท่านเองนะครับ
จริงๆ แล้วก็คือหลักของการปล่อยวางนะครับ เนื่องจากเจ้าความเครียดนั้นถ้าถือไว้มากหรือนานเกินไปก็จะหนักตัวเราเองและไม่ดีต่อสุขภาพของเรา ยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันแล้วก่อนที่ท่านจะเครียดหรือโกรธอะไรก็แล้วแต่ลองถามสามคำถามข้างต้นดูนะครับ เผื่อผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้าง และเราจะได้ใจเย็นๆ กันลงบ้าง