22 December 2008

สิ่งที่น่าห่วงประการหนึ่งในสังคมเรา ไม่ว่าจะเป็นระดับประเทศ ระดับองค์กร หรือ ระดับหน่วยงานต่างๆ คือ เราประกอบด้วยนักฝันและนักพูดกันเยอะพอสมควร แต่มักจะหานักปฏิบัติจริงๆ ได้ยาก และที่ยากยิ่งขึ้นไปอีก คือการจะหาคนๆ เดียวที่เป็นทั้งนักฝัน นักพูด และนักปฏิบัติ ถ้าองค์กรไหนสามารถมีคนประเภทนี้อยู่ต้องรีบสงวนไว้เป็นของมีค่าเลยนะครับ ในขณะเดียวกัน ถ้าเราไม่สามารถหาคนๆ เดียวที่เป็นทั้งสามประการได้ แต่ถ้าสามารถทำให้คนที่มีคุณสมบัติทั้งสามประการมาทำงานร่วมกันได้อย่างกลมเกลียวก็ถือเป็นทรัพย์สินที่มีค่าขององค์กรเช่นเดียวกันครับ

            นักฝันนั้นเป็นผู้ที่มีความคิดบรรเจิด มีความสามารถในการคิด ต่อยอด และมองภาพไปในอนาคตได้ดีครับ คนประเภทนี้อาจจะเรียกอีกอย่างว่านักคิดก็ได้ หรือ ประเภทพวกเจ้าโครงการต่างๆ ซึ่งในองค์กรต่างๆ ก็จะมีคนประเภทนี้อยู่บ้าง คือพวกชอบคิดโน้นคิดนี้ในสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา โดยที่หลายๆ ครั้งสิ่งที่บุคคลเหล่านี้คิดออกมาได้นั้น อาจจะเป็นสิ่งที่เหมาะแก่การคิดจริงๆ นั้นคือไม่สามารถปฏิบัติได้ ผมเองมองว่าคนประเภทนี้ถ้าผู้บริหารหรือผู้นำรู้จักใช้ดีๆ จะเป็นบุคคลที่มีค่ากับองค์กรอย่างมากครับ เนื่องจากคนเหล่านี้คิดดีและหวังดีกับองค์กร เพียงแต่วิธีคิดของคนประเภทนี้อาจจะล้ำสมัยหรือยากสำหรับการปฏิบัติ ดังนั้นถ้าผู้นำรู้จักที่จะบริหารคนเหล่านี้ให้ดีๆ รวมทั้งหานักปฏิบัติที่เข้าใจหรือสามารถทำงานร่วมกันได้มาประกบก็จะช่วยทำให้ความคิดหรือบรรดาโครงการต่างๆ ที่นักฝันคิดออกมานั้น เป็นประโยชน์กับองค์กร

            ส่วนนักพูดนั้นผมยังแบ่งเป็นสองประเภทครับ ประเภทแรกคือพวกที่พูดเก่ง พูดแล้วน่าเชื่อถือ และเมื่อพูดครั้งใดผู้ฟังก็จะเห็นดีเห็นงามไปด้วย ซึ่งก็ถือเป็นคุณสมบัติและความสามารถประจำตัวที่เป็นที่น่าชื่นชมนะครับ แต่นักฝันประเภทนี้ดีแต่พูดให้ดูน่าเชื่อถืออย่างเดียว แต่ไม่สามารถปฏิบัติงาน หรือ มีผลงานออกมาจริง ก็เป็นเพียงแค่ผู้ที่ดีแต่พูดแต่ปฏิบัติไม่ได้นะครับ ส่วนนักพูดประเภทที่สอง ผมว่าน่ารังเกียจกว่าประเภทแรก เนื่องจากนักพูดประเภทที่สองนั้นเอาแต่พูดจริง แต่ไม่ใช่เป็นการพูดเพื่อการสร้างสรรค์ หรือ พูดแล้วก่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กรหรือคนรอบข้างแต่อย่างใด แต่เป็นการพูดในเชิงทำลาย ส่อเสียด ติเตียน หรือ ทำให้ผู้อื่นเสียกำลังใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าผู้พูดดีแต่พูด แต่ไม่เคยสร้างผลงาน หรือ ทำงานให้เป็นที่ปรากฎแต่อย่างใด เชื่อว่าในองค์กรส่วนใหญ่ก็พอจะมีนักพูดประเภทที่สองอยู่บ้างนะครับ

            สำหรับนักปฏิบัตินั้น ชื่อก็บอกอย่างชัดเจนแล้วครับ ว่าเป็นพวกที่ทำงาน สามารถปฏิบัติงานให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้ ถ้าท่านผู้อ่านนึกภาพความแตกต่างระหว่างนักฝัน นักพูด และนักปฏิบัติไม่ออก ท่านผู้อ่านลองนึกภาพดูซิครับว่าเวลาท่านผู้อ่านทำงานเป็นกลุ่ม และได้รับมอบหมายงานมาชิ้นหนึ่ง ปฏิกริยาของบุคคลต่างๆ ภายในกลุ่มจะเป็นอย่างไรบ้าง? อาจจะมีบางคนที่ความคิดบรรเจิด สามารถต่อยอดความคิดจากงานที่ได้รับมอบหมาย ในขณะที่บางคนก็เอาแต่พูด นินทา และวิจารณ์ต่องานที่ได้รับ ในขณะที่บางคนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แต่ก้มหน้าก้มตาทำงานตามที่ได้รับมอบหมายมาเลย

            ผมมองว่าคุณลักษณะทั้งสามประการนั้นเป็นสิ่งที่เสริมกันครับ และถ้ามีได้ในคนๆ เดียวก็ถือเป็นสิ่งที่สุดยอด แต่ถ้ามีไม่ได้ ผู้บริหารก็ต้องสามารถดึงคนที่มีคุณลักษณะทั้งสามประการมาทำงานร่วมกันเพื่อให้สามารถเสริมในสิ่งที่ขาดได้ เนื่องจากถ้ามีแต่นักฝัน และไม่มีนักปฏิบัติ สิ่งที่คิด สิ่งที่ฝัน ก็ย่อมไม่สามารถทำให้สิ่งที่คิดและฝันเกิดการปฏิบัติได้จริง หรือ ถ้ามีแต่นักปฏิบัติ แต่ขาดนักฝันและนักพูด ก็จะทำงานไปโดยขาดทิศทางหรือการพัฒนาที่ก้าวไปข้างหน้า อีกทั้งสิ่งที่ทำที่ปฏิบัติไปนั้น จะไม่เป็นที่ทราบของผู้อื่นหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทำให้งานที่ทำไปนั้น ขาดการประชาสัมพันธ์หรือรับทราบอย่างทั่วถึง แต่ถ้ามีแต่นักฝันและนักพูด ก็จะเหมือนกับนักขายฝัน ที่ไม่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างแท้จริง

            ข้อสังเกตที่น่าสนใจอีกประการก็คือตัวผู้นำหรือผู้บริหารองค์กร ควรจะมีคุณลักษณะประเภทไหนบ้าง? ในอดีตเราอาจจะบอกว่าผู้นำสูงสุดจะต้องเป็นนักฝัน ที่คอยคิดถึงทิศทาง ถึงอนาคตขององค์กร แต่ผมกลับมองว่าถ้าผู้นำในดวงใจนั้นควรจะมีคุณลักษณะทั้งสามประการอยู่ในตัวคนๆ เดียว เนื่องจากผู้นำจะต้องทำหน้าที่ในการคิด ในการฝัน ถึงภาพหรือสิ่งที่องค์กรจะเป็นในอนาคต ในขณะเดียวกันก็ควรจะมีความเป็นนักปฏิบัติอยู่ในตัวด้วย ถึงแม้ว่าผู้นำสูงสุดจะไม่ต้องลงมาปฏิบัติในทุกเรื่องทุกราว แต่เวลาคิดหรือเวลาฝันนั้น ควรจะคิดเผื่อถึงเวลาปฏิบัติด้วยว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด และบางครั้งบางสถานการณ์ผู้นำก็คงต้องพับแขนเสื้อแล้วลงมาลุยงานเองบ้าง ส่วนความเป็นนักพูดนั้นก็จำเป็นในฐานะที่ผู้นำจะต้องชักจูง โน้มน้าว บุคคลอื่นๆ ให้ปฏิบัติงานได้สำเร็จ รวมทั้งยังต้องทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงขององค์กรในโอกาสต่างๆ อีกด้วย

            ท่านผู้อ่านก็ลองนำเรื่องของนักฝัน นักพูด และนักปฏิบัติ ไปลองพิจารณาดูนะครับ อาจจะมีนัก…….. อย่างอื่นเพิ่มขึ้นอีกก็ได้