24 August 2008

ท่านผู้อ่านสังเกตบ้างไหมครับว่าปัจจุบัน เราจะพบเจอปรากฎการณ์อย่างหนึ่งในแวดวงธุรกิจมากขึ้น นั้นก็คือการผนึกรวมระหว่างอุตสาหกรรมที่อาจจะมีความเหมือนหรือแตกต่างกันสองอุตสาหกรรม นอกเหนือจากการผนึกรวมระหว่างอุตสาหกรรมสองอุตสาหกรรมแล้ว ยังมีการยืมหรือนำแนวปฏิบัติที่ประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมหนึ่ง มาปรับใช้ในอุตสาหกรรมอื่นกันมากขึ้น แสดงว่าผู้บริหารเริ่มมองออกนอกขอบเขตของธุรกิจหรืออุตสาหกรรมเดิมๆ ที่เราอยู่กันแล้วครับ
ทั้งนี้เนื่องจากในอดีตเวลาองค์กรธุรกิจต่างๆ วิเคราะห์กลยุทธ์ของตนเอง ส่วนใหญ่ก็มักจะคิดหรือกำหนดกรอบในการคิดของตนเองให้อยู่เฉพาะในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่ตนเองอยู่เท่านั้น เช่นผมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ถ้าผมจะวิเคราะห์กลยุทธ์ของหน่วยงานผม ผมก็จะมองแต่เฉพาะสถาบันการศึกษาเท่านั้น ซึ่งการมองเฉพาะอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่ตนเองอยู่นั้น ถือเป็นมุมมองที่ค่อนข้างแคบและเป็นการปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมเลยครับ
สาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้เรามักจะมองภายใต้กรอบการดำเนินงานของตนเองนั้น อาจจะมาจากโรคประการหนึ่งที่ผู้บริหารชอบเป็นก็ได้ครับนั้นคือ NIH Syndrome หรือ Not-Invented-Here Syndrome ซึ่งเป็นโรคยอดฮิตในหมู่พวกคนเก่งที่มีความเชี่ยวชาญในสิ่งที่ตนเองทำ ซึ่งคนเหล่านี้มักจะคิดว่าสิ่งใดก็ตามที่ไม่ได้เกิดขึ้น หรือมาจากผลงานของตนเองนั้น ถือว่าใช้ไม่ได้หรือไม่เป็นที่ยอมรับ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าท่านผู้อ่านมีคนรู้จักที่เชี่ยวชาญทางด้านอาหาร ชอบสรรหาอาหารอร่อยๆ กิน แต่ถ้าอาหารที่ไหนก็ตามที่เขาไม่ได้เป็นคนแนะนำหรือแสวงหานั้น อาหารเหล่านั้นต่อให้เลิศรสแค่ไหน ก็จะไม่อร่อยทุกครั้ง (เคยเจอเหมือนกันครับ ยังไม่ทันตักก๋วยเตี๋ยวเข้าปากเลยก็บอกว่าไม่อร่อยแล้ว)
เมื่อนำอาการของโรคดังกล่าวมาประยุกต์กับกระบวนการคิดในเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหาร เราก็จะพบเจอผู้บริหารระดับสูงจำนวนมากที่มองว่าอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่ตนเองอยู่นั้นเป็นธุรกิจที่มีความแตกต่าง ไม่มีธุรกิจไหนที่จะเหมือนได้อีกแล้ว ดังนั้นการเรียนรู้ต่างๆ จะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องมาจากภายในอุตสาหกรรมของตนเองเท่านั้น ไม่มีทางหรือเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถประยุกต์หรือนำแนวทางปฏิบัติที่ดีในอุตสาหกรรมอื่นมาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมตนเอง
อย่างไรก็ดีจากการที่องค์กรธุรกิจจำนวนมากเริ่มถึงทางตันในการเติบโต และไม่สามารถหาหนทางใหม่ๆ ในการสร้างความแตกต่างได้ ดังนั้นเราจะพบองค์กรธุรกิจจำนวนมากที่เริ่มที่จะหันมาเรียนรู้ ผนึกรวม หรือ ผสมผสาน ระหว่างอุตสาหกรรมสองอุตสาหกรรมมากขึ้น ถ้ายกตัวอย่างง่ายๆ ก็เช่น โรงพยาบาลต่างๆ ที่ได้มีการเรียนรู้จากโรงแรมมาใช้ในการปรับปรุงทั้งเรื่องของการบริการ การตกแต่งและการออกแบบสถานที่ เป็นต้น
การสร้างสรรค์กลยุทธ์ใหม่ๆ จากอุตสาหกรรมอื่นนั้น เท่าที่ผมประมวลมาได้ มักจะพบเจอในสามรูปแบบครับ รูปแบบแรกเป็นการนำแนวทางในการปฏิบัติที่ดีจากอุตสาหกรรมอื่นมาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมของเรา เช่นกรณีของโรงพยาบาลที่เรียนรู้ในเรื่องของบริการและการตกแต่งสถานที่จากโรงแรม หรือ โรงแรมแบบประหยัดหลายแห่งที่เรียนรู้และปรับใช้รูปแบบของธุรกิจจากสายการบินต้นทุนต่ำ หรือ ในต่างประเทศที่มีสำนักงานกฎหมายและสำนักงานบัญชี นำรูปแบบของธุรกิจแบบ 7-11 มาปรับใช้ โดยเปิดสำนักงานอยู่ตามเมืองต่างๆ ในรูปแบบของแฟรนไชส์ และมีมาตรฐานในการบริหารและจัดการ ที่เหมือนกันหมด
รูปแบบที่สองจะคล้ายกับรูปแบบแรก แต่ผมมองว่ามีรายละเอียดขึ้นไปอีกระดับ โดยเป็นการผสมผสานระหว่างอุตสาหกรรมสองอุตสาหกรรม ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะมีความเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกันเลย เช่นโรงแรมในนิวยอร์คแห่งหนึ่งชื่อ Library Hotel ที่เป็นการผสมผสานระหว่างโรงแรมกับห้องสมุด โดยนอกเหนือจากจะมีหนังสือจำนวนมากให้แขกอ่านเหมือนห้องสมุดแล้ว การจัดห้องต่างๆ ก็อยู่ในรูปแบบเดียวกับห้องสมุด โดยชั้นแต่ละชั้น และห้องแต่ละห้อง จะเป็นหนังสือแต่ละหมวด เช่น ถ้าผมเข้าพักและอยากจะอ่านหนังสือในหมวดทางด้านการบริหารแล้ว ผมจะต้องเข้าพักที่ชั้น 6 ห้อง 3 เป็นต้น มีหลายคนสงสัยเหมือนกันนะครับ ว่าถ้าไปเที่ยวและพักโรงแรมแล้ว ทำไมต้องไปหมกตัวอยู่ในห้องอ่านแต่หนังสือด้วย ควรจะออกไปท่องเที่ยวภายนอกมากกว่า แต่โรงแรมนี้เขาตั้งขึ้นมาเพื่อนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาพักผ่อนจริงๆ ครับ ไม่ใช่พวกชอบเที่ยวตะลอน
รูปแบบที่สามจะเป็นการมองข้ามไปยังอุตสาหกรรมที่มีลักษณะเป็นอุตสาหกรรมทางเลือก (Alternative Industries) ที่มีลักษณะและรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่เป็นสองอุตสาหกรรมที่ตอบจุดมุ่งหมาย เดียวกัน โดยนำข้อดีของแต่ละอุตสาหกรรมหรือแต่ละทางเลือกนั้นมารวมเป็นธุรกิจชนิดใหม่ๆ ซึ่งแนวคิดดังกล่าว ก็มาจากแนวคิดประการหนึ่งของ Blue Ocean Strategy ที่กำลังเป็นที่นิยมกันในปัจจุบัน ตัวอย่างที่ผมใช้บ่อยๆ ก็เช่น สาเหตุสำคัญที่คนเราไป Spa ก็เพื่อผ่อนคลาย ในขณะเดียวกันถ้าเราอยากจะ ผ่อนคลายแต่ไม่ไป Spa จะมีทางเลือกอื่นหรือไม่? บางท่านอาจจะตอบว่าไปร้องเพลงที่คาราโอเกะ ดังนั้นเราสามารถนำข้อดีหรือสาเหตุที่คนเลือกไป Spa เพื่อผ่อนคลายและไปคาราโอเกะเพื่อผ่อนคลายมารวมกัน เพื่อคิดหรือสร้างเป็นธุรกิจใหม่ได้หรือไม่?
ท่านผู้อ่านก็ลองนำแนวทางหรือรูปแบบทั้งสามประการไปพิจารณาดูนะครับ อย่าทำให้ตนเองเป็นโรค NIH แล้วพยายามเรียนรู้และมองหาทางเลือกใหม่ๆ จากอุตสาหกรรมหรือธุรกิจอื่นบ้างนะครับ