27 July 2008

ปกติวารสารธุรกิจหรือสถาบันต่างๆ เขาจะมีการจัดองค์กรหรือบริษัทที่น่าจะทำด้วยมากที่สุดกันอย่างสม่ำเสมอ ที่จัดกันมาอย่างต่อเนื่องก็เช่นวารสาร Fortune และบริษัทที่มักจะได้รับการจัดอันดับที่ดีส่วน ใหญ่ก็เป็นบริษัทขนาดใหญ่ต่างๆ ที่เขาสามารถให้ผลประโยชน์ ผลตอบแทน และสวัสดิการต่างๆ อย่างล้น เหลือเพื่อให้บุคลากรของเขามีความสุขในการทำงาน ตัวอย่างของบริษัทที่มักจะได้รับการจัดอันดับให้น่าทำงานด้วยมากที่สุดก็อย่างเช่น Google อย่างไรก็ดีมีข้อสงสัยมาบ้างเหมือนกันนะครับว่า ตัวอย่างและแนว ทางในการจูงใจบุคลากรของบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับส่วนมาก จะเหมาะกับองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ที่มีทรัพยากรอย่างเหลือเฟือเสียมากกว่า ในขณะที่ธุรกิจส่วนใหญ่ของเมืองไทยยังเป็นธุรกิจขนาดกลาง และย่อมอยู่ ทำให้ข้อคิดที่ได้จากบริษัทชั้นนำเหล่านี้ ไม่สามารถนำมาปรับใช้ได้กับธุรกิจขนาดกลางและย่อม ในเมืองไทย

            โชคดีที่ผมไปเจอผลการศึกษาของ Society of Human Resource Management ร่วมกับบริษัทที่ปรึกษาแห่งหนึ่ง เขาได้ทำการศึกษาและสำรวจบริษัทที่เป็นธุรกิจขนาดกลางและย่อม ในสหรัฐอเมริกา ว่าบริษัทไหนเป็นบริษัทที่น่าทำงานด้วยมากที่สุด เพื่อจัดลำดับและเผยแพร่แนวทางในการทำให้บริษัทของตัวเองน่าทำงานด้วย ดังนั้นผมจึงคิดว่าประสบการณ์จากบริษัทเหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการทำให้ธุรกิจขนาดกลางและย่อมของไทย ในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงานให้น่าอยู่ เกิดแรงจูงใจ และทำให้บุคลากรที่ทำงานด้วยมีความสุขครับ

            เริ่มจากบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับให้น่าทำงานด้วยมากที่สุดในกลุ่มบริษัทขนาดเล็กก่อนนะครับ เขาให้คำจำกัดความของบริษัทขนาดเล็กไว้ว่ามีจำนวนบุคลากรระหว่าง 50 – 250 คนครับ และบริษัทที่ได้รับเลือกชื่อ Dixon Schwabl ครับ ซึ่งเป็นบริษัทด้านการตลาดและโฆษณาที่มีบุคลากรอยู่เพียงแค่ 70 กว่าคน ที่บริษัทนี้มีใบสมัครงานมามากว่า 500 ฉบับต่อปี ในขณะที่ไม่มีการลาออกของพนักงานแต่อย่างใด

            พนักงานที่นี้เขาชื่นชมต่อการเปิดเผนและแบ่งปันข้อมูลของเจ้าของและผู้บริหารสูงสุดครับ ที่บริษัทเขาจะมีการประชุมพนักงานทั้งบริษัทสัปดาห์ละครั้งเพื่อแจ้งข่าวสารต่างๆ ทั้งข่าวดีและข่าวร้าย เจ้าของไม่เคยปิดบังข้อมูลใดๆ กับพนักงานทุกคนเลย แม้กระทั่งว่ากำไรที่บริษัทได้นั้น จะมีการจัดสรรไปที่กิจกรรมหรืองานอะไรบ้าง พนักงานทุกคนก็จะได้รับรู้ ซึ่งถ้าเทียบกับธุรกิจขนาดย่อมทั่วๆ ไปแล้ว เรามักจะพบว่าข้อมูลสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลทางด้านการเงินจะเป็นสิ่งที่พยายามปกปิดหรือไม่ให้พนักงานในทุกระดับได้รับรู้กันเลย

            นอกเหนือจากการเปิดเผยข้อมูลแล้ว ที่บริษัทนี้ยังให้ความสำคัญกับเรื่องของความสนุกสนาน หรือ Fun ด้วยครับ ถึงขนาดมีการตั้งงบประมาณหมวด Fun ในงบประมาณประจำปีของบริษัทด้วยครับ เพื่อให้ มั่นใจได้ว่าบริษัทจะมีเงินจัดสรรมาเพื่อสนับสนุนให้เกิดความสนุกสนานในบริษัท มีการตั้งทีมขึ้นมาประมาณ 5-8 คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการหากิจกรรมและสร้างความสนุกสนานให้กับบุคลากรทั้งบริษัท ในแต่ละเดือน เช่น เมื่อถึงเทศกาลฮัลโลวีน ก็มีการประกวดตกแต่งฟักทอง มีการจัดแข่งขันกีฬาระหว่างพนักงาน มีไอศกรีมให้รับทานฟรีในวันพฤหัส มีเกมและกิจกรรมต่างๆ ให้เล่นอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้พนักงานทุกคนยังได้หยุดงานในวันเกิดของตนเองอีกด้วย

            เพื่อให้สมกับการเป็นบริษัทด้านการตลาดและโฆษณา การออกแบบสำนักงาน ก็มุ่งเน้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม เช่น มีโต๊ะฟุตบอลให้เล่นกลางสถานที่ทำงานในกรณีที่เครียดและคิดงานชิ้นต่อไปไม่ออก หรือ มีการสร้างสไลเดอร์จากชั้นที่สองลงมาห้องโถง เพื่อให้ทั้งพนักงานและลูกค้าได้ไถลเลื่อนลงมาชั้นล่าง ที่น่าสนใจคือมีการติดตั้งระฆัง อยู่บนผนังใกล้ๆ ประตูเข้าออก ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่ลูกค้าได้รับการบริการที่ดีและยอดเยี่ยม ลูกค้าจะสั่นหรือตีระฆังดังกล่าวให้ดังขึ้น ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่พนักงานทั้งบริษัทได้ยินเสียงระฆังจากลูกค้า ก็จะทำให้พนักงานมีกำลังใจในการทำงานมากขึ้น

            สำหรับประเด็นน่าสนใจอื่นๆ เกี่ยวกับบริษัทนี้ก็คือ ร้อยละ 90 ของพนักงานใหม่ เป็นผู้ที่ได้รับการ แนะนำจากพนักงานเดิม ซึ่งก็สอดคล้องกับทฤษฎีด้านการรับคนนะครับ ว่าวิธีการสรรหาบุคลากรที่ดีที่สุด ก็คือการแนะนำจากพนักงานที่อยู่ในบริษัทแล้ว ในขณะเดียวบริษัทนี้ก็เปิดเผยมากครับ นั้นคือประโยชน์ใด ก็ตามที่คู่ชีวิต (คนละเพศ) ได้รับ ถ้าพนักงานมีคู่ชีวิตที่เป็นเพศเดียวกัน ก็จะได้รับเหมือนกัน นอกจากนี้พนักงานแต่ละคนยังได้รับการอบรมหรือพัฒนาเป็นมูลค่ากว่า $2,500 ต่อปี หรือ กว่า 80,000 บาทครับ (สำรับธุรกิจขนาดย่อมนะเนี่ย) ในหน้าร้อน จะมีการส่งไอศกรีมมาให้พนักงานรับทานฟรีทุกสัปดาห์ พนักงานทุกคนมีการกำหนดเวลาการทำงานด้วยตนเองในลักษณะ Flexible Schedule และกว่า 10% ทำงานที่บ้าน

            ผลลัพธ์จากสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ทุกคนทำงานโดยมีทัศนคติและขวัญและกำลัใจในการทำงานที่ดัครับ ทุกคนทำงานเป็นทีม และคำนึงถึงเพื่อนร่วมงาน พนักงานทุกคนได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจที่สำคัญ ทุกคนมีความรู้สึกว่าบริษัทเป็นเสมือนครอบครัวของตนเอง

            สิ่งต่างๆ ที่บริษัทขนาดเล็กอย่างนี้นำเสนอนั้น อาจจะดูเป็นสิ่งธรรมดาสำหรับบริษัทขนาดใหญ่ชั้นนำทั้งหลาย แต่ท่านผู้อ่านก็อย่าลืมนะครับ ว่าบริษัทที่นำเสนอนั้นเป็นบริษัทขนาดย่อมที่มีพนักงานเพียงแค่ 70 คนเท่านั้นนะครับ ท่านผู้อ่านอาจจะลองนำข้อคิดเหล่านี้ไปปรับใช้ดูได้นะครับ

            ก่อนจบขอฝากประชาสัมพันธ์งานสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสครบรอบ 70 ปี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ ในวันที่  7 สิงหาคมนี้นะครับ โดยจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมในด้านการจัดการต่างๆ มีวิทยากรจากคณาจารย์และศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงอีกมากครับ สนใจโทร.มาสอบถามรายละเอียดได้ที่ 02-218-5867 นะครับ