
9 March 2008
เข้าใจว่าตอนนี้มหาวิทยาลัยและโรงเรียนทุกแห่งคงปิดเทอมแล้วนะครับ และท่านผู้อ่านที่มีลูกหลานในวัยเรียนและวัยรุ่นก็คงพบนะครับว่า ลูกหลานของท่านจำนวนมากคงจะใช้เวลาในช่วงปิดเทอมหมดไปกับการเล่นเกมต่างๆ ลูกๆ ผมเองก็เหมือนกันครับ สิ่งหนึ่งที่มุ่งมั่นมากตั้งแต่ช่วงสอบก็คือพอปิดเทอมแล้วจะเล่นเกมต่างๆ ทั้งเกมออนไลน์ เกมคอมพิวเตอร์ หรือพวกวิดีโอเกมต่างๆ จริงๆ อย่าว่าแต่ลูกๆ ผมเลยครับ คุณพ่อเองก็ตั้งใจไว้เหมือนกันว่าพอลูกสอบเสร็จก็จะเริ่มเล่น Wii ต่ออย่างจริงจัง
เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่หลายๆ ท่านคงจะเริ่มตั้งหน้าตั้งตาห้าม หรือ ปราม ลูกๆ หลานๆ ท่านเกี่ยวกับเล่นเกมนะครับ เนื่องจากความรู้ และความเชื่อที่มีมาแต่อดีตก็คือการที่เด็กๆ และวัยรุ่นเล่นเกมมากเกินไปจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี ไม่ว่าจะทำให้กลายเป็นคนไม่มีเพื่อน สายตาเสีย หมกหมุ่นจนไม่ทำอะไร ไม่ได้ออกกำลังกาย ฯลฯ แต่ช่วงหลังนี้รู้สึกว่ากลับจะเริ่มมีแนวคิดในอีกด้านหนึ่งเกิดขึ้นนะครับ ในวารสาร Businessweek เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาได้มีบทความหนึ่งเรื่อง Video Games Aren’t a Waste of Time ซึ่งเป็นบทความที่พูดถึงอีกมุมมองหนึ่งของการเล่นเกม (ไม่ว่าจะเป็นเกมวิดีโอ เกมออนไลน์ หรือ เกมคอมพิวเตอร์) ว่าจริงๆ แล้วอาจจะไม่ใช่การสิ้นเปลืองเวลาโดยใช่เหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่กำลังจะเข้าสู่ตลาดแรงงาน
ทั้งนี้เนื่องจากเริ่มมีการพบว่าการเล่นเกมนั้นทำให้ผู้เล่นได้พัฒนาทักษะที่สำคัญและจำเป็นสำหรับการเข้าสู่ตลาดแรงงานของคนทำงานยุคใหม่ ทั้งนี้เนื่องจากทักษะที่สำคัญและจำเป็นต่อการประสบความสำเร็จในการเล่นเกมนั้น กลับเป็นทักษะที่สำคัญและจำเป็นต่อคนยุคใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการเข้าสังคม การพัฒนาทักษะในการคิดเชิงกลยุทธ์ การเป็นผู้นำที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เล่นเกมจะต้องใช้ทักษะทั้งทางด้านจิตใจและสังคมพร้อมๆ กัน นอกจากนี้ยังมีผลงานวิจัยที่ค้นพบว่าการเล่นเกมและการเติบโตมาพร้อมกับการเล่นเกม จะเป็นการพัฒนาทักษะ ทัศนคติ ความคาดหวัง รวมทั้งคุณลักษณะต่างๆ ที่สัมพันธ์กับการทำธุรกิจ
ข้อสังเกตอีกประการก็คือพอเข้าไปเว็บอเมซอนแล้ว กลับพบว่ามีหนังสือที่ออกมาแสดงจุดยืนว่าการเล่นเกมเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เช่น The Kids are Alright หรือ Don’t Bother Me Mom – I’m Learning (แม่ครับ อย่าพึ่งยุ่งกับผม ผมกำลังเรียนรู้อยู่) หรือ How Computer Games Help Children Learn เป็นต้น ท่านผู้อ่านก็ลองเข้าไปค้นหาหนังสือเหล่านี้ใน Amazon.com ดูนะครับ แล้วเราจะเริ่มพบด้วยความแปลกใจว่า การเล่นเกมนั้นมีประโยชน์จริงๆ หรือ?
ในขณะเดียวกันแนวโน้มที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือสถาบันการศึกษาและองค์กรธุรกิจจำนวนมาก ได้นำการเล่นเกมมาใช้เป็นสื่อในการสอนและพัฒนาบุคลากรของตนเอง ที่ทำกันมาหลายปีแล้วก็คือการนำเกมธุรกิจมาใช้ประกอบการเรียนการสอนในวิชาพวกการจัดการเชิงกลยุทธ์ สำหรับนิสิตระดับ MBA ทีนี้สำหรับองค์กรธุรกิจต่างๆ แล้ว มีงานวิจัยของบริษัทที่ปรึกษาแห่งหนึ่งชื่อ Apply Group ที่ทำการสำรวจและพบว่าอย่างน้อยหนึ่งร้อยบริษัทจาก Fortune 500 ที่จะใช้เกมเป็นเครื่องมือและกลไกในการพัฒนาบุคลากรของตนเอง ภายในปี 2012
บัดนี้เรายังอาจจะมองไม่เห็นผลที่ชัดเจนนะครับว่าการเล่นเกมจะมีประโยชน์อย่างไรต่อการทำงาน แต่สิ่งที่เริ่มมองเห็นก็คือสภาวะแวดล้อมในการทำงานในอนาคตจะเปลี่ยนไป และสภาวะแวดล้อมดังกล่าวจะมีลักษณะคล้ายกับบรรยากาศของการเล่นเกมมากขึ้น หลายๆ ท่านที่เล่นเกมก็คงพอจะนึกออกนะครับ อย่างลูกสาวผมเขาชอบเล่นพวกเกม Mario ของนินเทนโด เวลาไปเที่ยวเขาก็จะมีความรู้สึกเหมือนกับจะต้องผ่านด่านต่างๆ ของ Mario และจะผ่านด่านแต่ละด่านได้สำเร็จก็คือกลับมาถึงโรงแรมในตอนเย็น
กลับมาที่สภาวะแวดล้อมในการทำงานในอนาคตนะครับ ท่านผู้อ่านลองดูบรรดาหนุ่มๆ สาวๆ ในที่ทำงานท่านซิครับ เชื่อว่ากว่าครึ่งเป็นพวกที่เล่นเกมเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกมออนไลน์ต่างๆ ทำให้คนทำงานยุคใหม่ ไม่จำเป็นต้องทำงานภายใต้กรอบหรือข้อจำกัดของโครงสร้างองค์กรแบบเดิมๆ ไม่ถนัดกับการมานั่งทำงานในห้องทำงาน เหมือนที่เราคุ้นเคย แต่คนเหล่านี้จะถนัดกับการทำงานออนไลน์ที่ไม่จำเป็นต้องเห็นหน้ากัน คนเหล่านี้จะไม่ชอบสายการบังคับบัญชาแบบดั้งเดิม และสิ่งที่มีแนวโน้มจะเป็นไปได้ก็คือคนเหล่านี้จะทำงานใน Virtual Teams ที่อาจจะกระจายอยู่ทั่วโลก
เราอาจจะยังไม่ทราบอย่างชัดเจนนะครับว่าการเล่มเกมมีประโยชน์จริงๆ มากน้อยเพียงใด แต่สิ่งสำคัญก็คือคุณลักษณะของคนทำงานยุคปัจจุบันและยุคใหม่กำลังจะเปลี่ยนไป และสภาวะแวดล้อมการทำงานของคนเหล่านี้ก็ได้รับผลสะท้อนมาจากสภาวะแวดล้อมในการเล่นเกมของพวกเขา นอกจากนี้การเล่นเกมของเด็กๆ ในปัจจุบันน่าจะมีประโยชน์อยู่บ้าง เพียงแต่คงจะต้องรู้จักแบ่งเวลาให้เหมาะสมเป็นหลักครับ เพราะฉะนั้นผมขอตัวไปเล่น Wii ต่อนะครับ