23 September 2007
หัวเรื่องสัปดาห์นี้อาจจะดูโฉบเฉี่ยวไปหน่อยนะครับ แต่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องสองเรื่องที่นำมาจากเนื้อหาจากหนังสือชื่อ Microtrends ของ Mark J. Penn ที่เขาศึกษาข้อมูล สถิติ และตัวเลข ต่างๆ เพื่อจับเทรนด์ แนวโน้ม หรือ กระแสต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยกระแสเหล่านี้ถึงแม้จะไม่ใหญ่โตอะไร แต่ก็เป็นแนวโน้มที่น่าสนใจและหลายประเด็นผมคิดว่าไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในต่างประเทศเท่านั้น แต่ในเมืองไทยก็เริ่มมีให้เห็นแล้วเช่นกันครับ ที่น่าสนใจก็คือจากแนวโน้มหรือกระแสเหล่านี้ คนที่มองเห็นย่อมสามารถเกาะกุมโอกาสจากแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นได้ ผมขอเริ่มที่พวกแนวโน้มที่เกี่ยวข้องกับประชากรก่อนนะครับ โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้เริ่มไว้ในเรื่องของเพศหญิงที่ต่อไปมีแนวโน้มที่จะอยู่เป็นโสดกันมากขึ้น เรามาลองดูในประเด็นอื่นๆ ต่อนะครับ
แนวโน้มที่น่าสนใจเกี่ยวกับประชากรและการดำรงชีวิตของเราประการต่อมาคือ จะพบว่าผู้หญิงเริ่มที่จะมีคู่ควงหรือคู่ครองที่เป็นเด็กมากขึ้น ซึ่งในอดีตดูจะเป็นเรื่องแปลกนะครับที่คุณสุภาพสตรีจะมีแฟนหรือคู่ชีวิตที่เด็กกว่ามากๆ เป็นสิบปี แต่ในปัจจุบันดูเหมือนว่าสังคมจะเริ่มให้การยอมรับมากขึ้น จากข้อมูลการสำรวจของอเมริกาพบว่าหนึ่งในสามของผู้หญิงอายุระหว่าง 40 – 60 จะมีแฟนหรือคู่ควงเป็นผู้ที่เด็กกว่า และหนึ่งในสี่ของกลุ่มนั้นจะมีคู่ควงเป็นผู้ที่มีอายุน้อยกว่าสิบปีขึ้นไป
ผมไม่แน่ใจว่าเคยมีการสำรวจในเมืองไทยหรือยัง แต่เราก็เริ่มเห็นแนวโน้มหรือกระแสดังกล่าวกันมากขึ้นนะครับ โดยเริ่มต้นจากวงการบันเทิงที่เดี๋ยวนี้จะมีดาราหญิงหันมาเขี้ยว “หญ้าอ่อน” กันเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความเชื่อเดิมๆ ที่เรามักจะบอกว่าผู้ชายมักจะชอบเคี้ยวหญ้าอ่อนนั้น เริ่มเปลี่ยนไปครับ
ลองหันมาดูแนวโน้มหรือกระแสสังคมอีกด้านหนึ่งนะครับ แต่คราวนี้ไม่เกี่ยวกับวัวแก่หรือหญ้าอ่อนแล้ว แต่เป็นเรื่องพฤติกรรมของเราครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมในการนอนครับ บางท่านอาจจะไม่สังเกตนะครับ แต่เราจะพบว่าเรานอนกันน้อยลงไปทุกทีนะครับ ท่านผู้อ่านลองสังเกตตัวท่านเองดูนะครับว่าโดยเฉลี่ยแล้ววันๆ หนึ่งท่านนอนวันละกี่ชั่วโมงครับ? เราเรียนรู้กันมาตั้งแต่เด็กแล้วว่าการนอนเป็นสิ่งที่สำคัญ และบรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายก็มักจะบอกว่าเราต้องการการพักผ่อนวันละ 7.5 – 8 ชั่วโมงโดยเฉลี่ย
ผมเชื่อว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของท่านผู้อ่านคงจะนอนน้อยกว่าค่าเฉลี่ยที่ควรจะเป็น และไม่ใช่แค่ในประเทศไทยนะครับ ในอเมริกาเขามีการสำรวจแล้วพบว่าคนที่นอนน้อยกว่าเจ็ดชั่วโมงต่อวันเพิ่มมากขึ้นจากในอดีต โดยเฉพาะพวกที่นอนน้อยกว่าหกชั่วโมงนั้นเพิ่มจาก 12% ในปี 1998 เป็น 16% ในปี 2005 นอกจากนี้ทาง AC Nielsen เขายังมีการสำรวจประชาชนในประเทศต่างๆ ถึงพฤติกรรมในการนอนพบว่าสิบประเทศที่ประชากรมักจะนอนต่อเมื่อเลยเที่ยงคืนไปนั้น อยู่ในเอเชียถึงเจ็ดประเทศครับ ซึ่งมีไทยติดอยู่ด้วย ที่ร้อยละ 43 ของประชาชนไทยที่นอนเลยเที่ยงคืนไปแล้ว (ไม่รู้ควรภูมิใจหรือเปล่านะครับ)
สาเหตุของการนอนน้อยลงก็หนีไม่พ้นเรื่องของงาน พฤตินิสัย และสื่อต่างๆ ที่เป็น 24 ชั่วโมงมากขึ้น ในอดีตที่ยังไม่มีทีวีหรืออินเตอร์เน็ตทั้งวันทั้งคืนเหมือนในปัจจุบัน ผมจำได้ว่าพอสี่ทุ่มครึ่งก็ไม่มีรายการน่าสนใจแล้ว แต่ในปัจจุบันเชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายท่านจะต้องนอนดึกขึ้น เนื่องจากสื่อต่างๆ ที่มีอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นรายการหนังดีๆ หรือ อ่านสิ่งที่น่าสนใจทางเน็ต หรือ ดูรายการถ่ายทอดสดกีฬาจากต่างประเทศ
นอกจากนี้งานก็เป็นข้ออ้างที่สำคัญที่ทำให้เรานอนน้อยลงครับ แต่พอถึงเรื่องงานนั้น หลายคนกลับจะยกย่องเชิดชูพวกที่ต้องทำงานหนักและนอนน้อยครับ เนื่องจากมองว่าเมื่อนอนน้อยลงก็จะมีเวลาทำงานมากขึ้น ทำให้มีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น ถึงขั้นมีการยกตัวอย่างคนดังระดับโลกอย่างอดีตนายกรัฐมนตรี Margaret Thatcher ของอังกฤษที่นอนเพียงแค่คืนละห้าชั่วโมง หรือ Madonna ที่นอนเพียงสี่ชั่วโมงต่อคืน หรือ นักประดิษฐ์เอกของโลกอย่าง Thomas Edison ที่นอนน้อยกว่าห้าชั่วโมงต่อคืน
แม้กระทั่งมีการคำณวนด้วยนะครับว่าถ้าเรานอนน้อยลงชั่วโมงครึ่งต่อวัน (แทนที่จะเป็น 7.5 ชั่วโมง แต่เป็น 6 ชั่วโมง) เราจะมีเวลาทำงานเพิ่มขึ้นถึง 10% ต่อวัน หรืออีก 8.2 ปี สำหรับพวกที่อายุยืนถึง 82 ปีเชียวครับ สำหรับพวกบ้างานทั้งหลายก็ดูแล้วน่าสนใจและเย้ายวนใจนะครับ แต่อย่าลืมนะครับว่าการนอนน้อยนั้นเป็นบ่อเกิดของสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ ตามมานะครับไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ ความเครียด หรือ แม้กระทั่งรายได้ที่น้อยลง (มีการวิจัยและพบความสัมพันธ์ระหว่างเวลาที่ใช้ในการนอนกับปัจจัยทั้งสามประการครับ) นอกจากนี้อุบัติเหตุต่างๆ บนท้องถนนก็มักจะมาจากสาเหตุของการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอเป็นสำคัญครับ รวมถึงความผิดพลาดในการทำงานด้วย ยังมีตัวเลขที่น่าสนใจอีกครับว่าคนที่นอนน้อยนั้นมักจะมีแนวโน้มเป็นโรคอ้วน (แปลกมากเลยครับ) เนื่องจากพอเรานอนน้อย ก็จะไปกระตุ้นฮอร์โมนที่ทำให้เราหิวและอยากกิน
ตอนนี้ในต่างประเทศเขาเริ่มตื่นตัวและตระหนักถึงความสำคัญของการนอนกันมากขึ้นเรื่อยๆ นะครับ พวกยานอนหลับแบบอ่อนๆ นั้นขายดีกันมาก ในมุมมองอีกด้าน เนื่องจากคนน้อยลง บรรดาเครื่องดื่มที่ทำให้คนต้องตื่นตัวตลอดทั้งวันก็ขายดีกันเป็นแถว สังเกตได้จากเครื่องดื่มผสมคาเฟอีนทั้งหลายครับ หรือแม้กระทั่งในปัจจุบันที่เราเห็นร้านขายกาแฟผุดขึ้นเต็มบ้านเต็มเมือง จนกลายเป็นนิสัยของหลายๆ คนไปแล้ว เพื่อให้คึกคักและตื่นตัวตลอดทั้งวัน เห็นไหมครับ ในทุกกระแสหรือแนวโน้ม ล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดโอกาสได้ทั้งสิ้น