24 August 2003
ผมได้มีโอกาสนำเสนอแนวคิดในเรื่องของการบริหารความรู้ (Knowledge Management) ผ่านทางหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์ไว้หลายครั้งแล้ว และในช่วงหลังก็ได้ยินผู้ใหญ่ในบ้านเราพูดถึงความพยายามที่จะปรับเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็น Knowledge Driven Economies และ Knowledge Society มากขึ้น ก็เลยเกิดความสนใจว่าจะสามารถปรับเปลี่ยนประเทศให้เป็น Knowledge Driven Economies ได้อย่างไร ก็พอดีไปเจอบทความหนึ่งของบริษัทที่ปรึกษาทางการจัดการ Monitor (เป็นบริษัทของ Michael E. Porter) ซึ่งเขียนถึงข้อเสนอแนะในการปรับเปลี่ยนประเทศเกาหลีให้เป็น Knowledge Driven Economies ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแล้วน่าสนใจ เลยอยากจะมานำเสนอให้ท่านผู้อ่านได้พิจารณากัน
บทความนี้ได้พยายามชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของการเป็น Knowledge Driven Economies ว่า จะช่วยทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตขึ้นกว่าประเทศอื่น อีกทั้งช่วยลดความเปราะบางของเศรษฐกิจของประเทศ และทำให้อัตราการจ้างงานโดยเฉพาะแรงงานมีฝีมือเพิ่มสูงขึ้น บทความนี้ได้บ่งชี้ไว้อย่างชัดเจนว่าการที่ประเทศใดก็ตามจะปรับตัวเองให้เป็น Knowledge Driven Economies ได้ องค์กรในประเทศนั้นต้องมีลักษณะเป็น Knowledge Driven Companies ก่อน โดยการเป็น Knowledge Driven Companies ได้นั้นองค์กรจะต้องสามารถที่จะใช้ความรู้จากแหล่งต่างๆ เพื่อเสาะแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ อีกทั้งใช้ความรู้เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างการได้เปรียบทางการแข่งขันเหนือองค์กรอื่น พบว่าองค์กรที่เป็น Knowledge Driven Companies มีคุณลักษณะที่สำคัญอยู่สามประการได้แก่ 1) มีการบริหารความรู้ขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล โดยองค์กรเหล่านี้ไม่ได้ปล่อยให้ความรู้ทั้งที่มีอยู่และเสาะแสวงหาได้ให้ผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์ องค์กรเหล่านี้มีกิจกรรมและความพยายามที่จะเสาะแสวงหาความรู้ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา รวมทั้งนำความรู้เหล่านั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ภายในองค์กร 2) มีการลงทุนอย่างชัดเจนในความรู้ทั้งด้านการตลาดและการบริหาร โดยไม่ได้มุ่งเน้นอยู่ที่ความรู้ทางด้านเทคนิคเพียงอย่างเดียว องค์กรเหล่านี้ให้ความสำคัญกับความรู้ในเรื่องของความต้องการของลูกค้า และพฤติกรรมของคู่แข่งขัน พอๆ กับความรู้ทางด้านเทคนิคที่ใช้ในการผลิตและดำเนินงาน และ 3) มีระบบการจูงใจที่กระตุ้นให้บุคลากรภายในองค์กรได้พัฒนาและแบ่งปันความรู้ภายในองค์กร
ก่อนที่จะอธิบายถึงสิ่งที่จะต้องทำเพื่อให้ประเทศได้ปรับเปลี่ยนเป็น Knowledge Driven Economies เรายังพบว่ามีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการเป็น Knowledge Driven Economies อยู่หลายประการ ได้แก่
1) ความเข้าใจผิดว่า Knowledge Driven Economies จะต้องมุ่งเน้นที่สินค้าเทคโนโลยีชั้นสูงเป็นหลัก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เนื่องจากการที่จะเป็น Knowledge Driven Economies ได้นั้นไม่ได้อยู่ที่สินค้าที่ผลิต แต่อยู่ที่วิธีการที่ใช้ในการผลิต นอกจากนี้ถ้าจุดแข็งของประเทศไม่ได้อยู่ที่สินค้าเทคโนโลยีชั้นสูง การเข้าไปมุ่งเน้นที่สินค้าไฮเทคเพื่อให้ได้เป็น Knowledge Driven Economies ก็เป็นความคิดที่ผิดพลาด เนื่องจากแทนที่จะเกิดข้อได้เปรียบกลับทำให้เกิดข้อเสียเปรียบทางด้านความรู้ (Knowledge Disadvantage)
2) ความเข้าใจผิดว่า Knowledge Driven Economies จะต้องมุ่งเน้นการลงทุนทางด้านทรัพย์สินและเทคโนโลยีใหม่ๆ ถึงแม้การลงทุนในเรื่องของสินทรัพย์และเครื่องจักรเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่เมื่อลงทุนได้ถึงระดับหนึ่ง การลงทุนในด้านเครื่องจักรก็จะหมดความสำคัญลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าประเทศไม่สามารถที่จะพัฒนาความสามารถของบุคลากรให้ทัดเทียมต่อเทคโนโลยีและเครื่องจักรที่ได้ลงทุนซื้อมา
3) ความเข้าใจผิดว่าการการปรับโครงสร้างหนี้และมาตรการทางเศรษฐกิจเป็นวิธีการเดียวที่จะทำให้ประเทศและองค์กรเติบโตในระยะยาว แต่การลดหนี้ลงกลับอาจจะทำให้องค์กรต้องจำกัดสินทรัพย์ทางความรู้ (Knowledge Assets) ที่สำคัญออกไปด้วย ทำให้ความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวขององค์กรลดน้อยลง
บทความของ Monitor ได้ระบุกิจกรรมที่มีความสำคัญห้าประการที่แต่ละประเทศจะต้องมุ่งเน้นในการทำให้ก้าวเข้าสู่ความเป็น Knowledge Driven Economies โดยปัจจัยทั้งห้าประการประกอบด้วย
1) ในการปรับโครงสร้างองค์กรในลักษณะใดก็ตามจะต้องคำนึงถึงและให้ความสำคัญต่อความรู้ด้วย โดยทำการประเมินความสามารถทางด้านความรู้ขององค์กรด้วย ในการตัดสินใจไม่ว่าจะเป็นในเรื่องใดก็ตามผู้บริหารขององค์กรแต่ละแห่งจะต้องคำนึงถึงการเสริมสร้างความรู้ขององค์กรในระยะยาวไว้เสมอ มีการสำรวจแล้วพบว่าการเพิ่มความสามารถทางด้านความรู้กลับเป็นความสำคัญลำดับสุดท้ายเมื่อผู้บริหารพิจารณาปรับเปลี่ยนองค์กร สิ่งที่ผู้บริหารทุกองค์กรจะต้องทำก็คือวิเคราะห์ความต้องการทางด้านความรู้ที่สำคัญสำหรับกลยุทธ์แต่ละด้านขององค์กร จัดทำการวิเคราะห์และประเมินความรู้ (Knowledge Audit) ภายในองค์กร เพื่อให้ทราบสถานะและระดับของความรู้ภายในองค์กร และ พิจารณาแผนการปรับเปลี่ยนองค์กรว่าความรู้ที่สำคัญได้สูญหายไปบ้างหรือไม่
2) ควรจะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายทางด้านทรัพยากรบุคคลใหม่ เนื่องจากทาง Monitor มองว่าการที่ประเทศใดก็ตามจะเป็น Knowledge Driven Economies นั้น จะส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายของบุคลากรในตลาดแรงงาน องค์กรต่างๆ จะมีการจ้างแรงงานในระดับต่างๆ ตรงตามความต้องการมากขึ้น ส่งผลให้นโยบายในด้านงานบริหารทรัพยากรบุคคลควรที่จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และเปิดโอกาสให้บุคลากรในตลาดแรงงานมีการโยกย้ายได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ทาง Monitor ยังได้เสนออีกด้วยว่าองค์กรต่างๆ ควรที่จะลดการสอบทางวิชาการเพื่อรับบุคคลเข้าทำงาน เนื่องจากการสอบทางวิชาการจะทำให้ผู้ที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยใหม่เกิดความได้เปรียบ ทำให้บุคลากรที่มีอายุมากแต่เป็นผู้ที่เป็น Knowledge Worker ไม่ได้มีโอกาสในการเข้าทำงาน
3) การสร้างกระทรวงการเรียนรู้และการทำงาน (Ministry of Learning and Employment) ซึ่งถือเป็นแนวคิดที่แปลกพอสมควรทีเดียว แต่ทาง Monitor ก็มีเหตุผลว่าการมีกระทรวงศึกษาดูแลในด้านการศึกษา กับการมีกระทรวงแรงงานแยกออกมา ดูแลเรื่องการทำงานเพียงอย่างเดียว ทำให้ไม่เกิดความเชื่อมโยงกันระหว่างระบบการศึกษากับนโยบายในการเรื่องของการทำงาน ดังนั้นทาง Monitor จึงได้เสนอแนะให้รวมสองกระทรวงนี้เข้าด้วยกันเพื่อให้ระบบการศึกษาของประเทศกับนโยบายในเรื่องของการทำงานได้สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เช่นเดียวกับในประเทศอังกฤษที่ได้มีการรวมสองกระทรวงนี้เข้าด้วยกัน
4) มุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายในลักษณะของ Cluster เพื่อให้เกิดเครือข่ายด้านความรู้ คำว่าเครือข่ายหรือ Cluster ในที่นี้เรามักจะได้ยินบ่อยมากขึ้นในช่วงหลัง พอจะแปลได้ง่ายๆ ว่าคือกลุ่มขององค์กรและสถาบันที่มีความสัมพันธ์กัน อีกทั้งอยู่ในบริเวณที่ใกล้เคียงกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อ ผู้ขาย ผู้ผลิต สถาบันการศึกษา ฯลฯ ความใกล้ชิดขององค์กรเหล่านี้จึงเป็นการง่ายที่จะเกิดการถ่ายทอดและไหลเวียนของความรู้ภายใน Cluster เดียวกัน ดังนั้นทั้งภาครัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรที่จะสนับสนุนให้เกิดการถ่ายทอดและไหลเวียนของความรู้ระหว่างองค์ กรและหน่วยงานใน Cluster เดียวกัน
5) กระตุ้นให้เกิดการไหลเข้าของความรู้จากต่างประเทศ เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่มุ่งเน้นแต่การเข้ามาลงทุนของต่างชาติ ซึ่งการลงทุนในที่นี้มักจะอยู่ในรูปของเงินทุน หรือเครื่องจักร แต่ประเทศที่ต้องการทีจะเป็น Knowledge Driven Economies จะต้องมุ่งเน้นในการไหลเข้ามาของความรู้ในด้านต่างๆ ด้วย และไม่ใช่แต่เฉพาะความรู้ทางด้านเทคนิคหรือเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงความรู้ในด้านตลาด ลูกค้า และคู่แข่งขันด้วย และการที่กระตุ้นให้เกิดการไหลเข้าของความรู้ สิ่งที่ประเทศต่างๆ ควรที่จะทำได้ ประกอบด้วย (1) พยายามทำตัวเป็นพันธมิตรที่ดีกับองค์กรชั้นนำของต่างชาติ อีกทั้งสร้างความมั่นใจให้กับบริษัทต่างชาติว่าการถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกันเป็นสิ่งที่ดี (2) มีการใช้สื่ออินเตอร์เน็ตมากขึ้น เพื่อให้ประชาชนและองค์กรในประเทศเกิดการเรียนรู้ใหม่ๆ ตลอดเวลา (3) สนับสนุนให้เกิดความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษมากขึ้น ทั้งในด้านของการอ่าน เขียน และพูด เนื่องจากภาษาอังกฤษจะเป็นภาษาหลักในการดูดซับความรู้จากต่างประเทศ
จะเห็นได้ว่าการที่ประเทศจะพัฒนาเป็น Knowledge Driven Economies ได้ ทั้งบุคคลในประเทศนั้น องค์กรธุรกิจต่างๆ และรัฐบาลต่างต้องมีบทบาทที่สำคัญ ในแง่ของบุคคลนั้นจะต้องมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะ ความสามารถของตนเองอย่างต่อเนื่อง แต่ละคนจะต้องเริ่มตระหนักถึงความรู้ และทักษะความสามารถที่ตนเองจะต้องมี อีกทั้งจะต้องเริ่มที่จะพัฒนาความรู้ของตนเอง ไม่ใช่รอให้ผู้อื่นมากำหนดให้ ส่วนองค์กรต่างๆ นั้นก็ต้องปรับกลยุทธ์มาให้ความสำคัญกับความรู้มากขึ้น และใช้ประโยชน์จากความรู้เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กรเพิ่มมากขึ้น องค์กรเองควรจะปรับสภาพของตนเองให้เป็น Knowledge Driven Organization เช่นเดียวกัน และสุดท้ายในระดับรัฐบาล จะต้องสร้างระบบและสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาความรู้ และการไหลเวียนของความรู้ อาทิเช่น ระบบที่กระตุ้นและจูงใจให้เกิดนวัตกรรมในภาคเอกชน การเปิดให้มีการแข่งขันอย่างเสรี การเตรียมพร้อมบุคลากรในประเทศทั้งในแง่ของทักษะ ความรู้ และทัศนคติที่จำเป็นต่อการเป็น Knowledge Driven Economies
เป็นอย่างไรบ้างครับข้อเสนอแนะของ Monitor ที่มีต่อประเทศเกาหลีใต้ในการพัฒนาประเทศให้เป็น Knowledge Driven Economies ดูๆ แล้วผมว่าสามารถนำมาปรับใช้ได้ทั่วๆ ไป และผมเองก็คิดว่ามาตรการหลายๆอย่างเราก็ได้เริ่มมีการนำมาใช้กันบ้างแล้วในเมืองไทย