25 April 2004

หลังจากที่สัปดาห์ที่แล้วว่างเว้นไปสัปดาห์หนึ่ง สัปดาห์นี้เรามาต่อกันในกรณีศึกษาสั้นๆ ให้ท่านผู้อ่านได้ลองคิดกันเล่นนะครับว่าถ้าท่านอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว ท่านจะตัดสินใจอย่างไร? ในสัปดาห์นี้สมมติว่าท่านเป็นผู้จัดฝ่ายทรัพยากรบุคคลของบริษัทขนาดใหญ่บริษัทหนึ่ง ที่รับผิดชอบต่อการพัฒนาบุคลากรและผู้บริหารของบริษัทท่าน ในอดีตการพัฒนาผู้บริหารของบริษัทท่านจะมุ่งเน้นการส่งผู้บริหารไปเข้ารับการอบรมในหลักสูตรสำหรับผู้บริหารระดับสูงตามสถาบันการศึกษาชั้นนำต่างๆ ของประเทศ ซึ่งก็มีข้อดีในแง่ของการได้มีโอกาสที่จะเจอเพื่อนฝูงจากหลายๆ บริษัท ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กันอย่างดี แต่ก็มีข้อจำกัดในแง่ที่ว่าหลักสูตรของสถาบันการศึกษาต่างๆ นั้น เป็นหลักสูตรกลางที่ไม่ตอบสนองต่อความต้องการของบริษัทท่านอย่างเต็มที่ มาในปีหน้าท่านวางแผนที่จะปรับเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาผู้บริหารระดับสูงเสียใหม่ โดยจะพัฒนาหลักสูตรสำหรับผู้บริหารของบริษัทท่านขึ้นมาเอง โดยได้รับความร่วมมือจากสถาบันการศึกษาชั้นนำหลายแห่ง  และยังมีแนวโน้มที่จะพัฒนาต่อไปเป็น Corporate University ต่อไปในอนาคต

ข้อดีของการพัฒนาหลักสูตรขึ้นมาเองก็คือบริษัทสามารถออกแบบหลักสูตรได้ตรงตามความต้องการ และในขณะเดียวกันจากการที่บริษัทท่านเพิ่งไปซื้อบริษัทอีกบริษัทเข้ามา ท่านคิดว่าการพัฒนาผู้บริหารในลักษณะดังกล่าว จะทำให้ผู้บริหารทั้งจากบริษัทเก่าและบริษัทใหม่สามารถผสมผสานและกลมกลืนได้มากขึ้น แต่ก็ทำให้งบประมาณต่างๆ เพิ่มมากขึ้น จากในอดีตที่ท่านจะส่งผู้บริหารไปอบรมตามสถาบันการศึกษาปีละ 5 – 6 คน แต่เมื่อจัดหลักสูตรเองแล้ว ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทท่านจากทั่วประเทศจะต้องมารับการอบรมหลักสูตรละประมาณ 30 คน ซึ่งนอกเหนือจากค่าจัดการอบรมแล้ว ยังต้องมีค่าเดินทาง ที่พัก และค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกจิปาถะ

เมื่อครึ่งปีที่แล้ว ท่านได้นำแผนงานดังกล่าวไปปรึกษากับกรรมการผู้จัดของบริษัทท่าน (สมมติว่าชื่อคุณวิจารณ์ นะครับ) ซึ่งในขณะนั้นคุณวิจารณ์ก็เห็นด้วยกับแผนงานของท่าน แต่เมื่อท่านเสนองบประมาณประจำปีหน้าให้คุณวิจารณ์อีกครั้งหนึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผลปรากฎว่าคุณวิจารณ์ได้ตัดงบประมาณในการพัฒนาผู้บริหารของท่านลง 80% จากงบประมาณเดิม ท่านเองเมื่อทราบผลดังกล่าวก็ได้รีบไปพบคุณวิจารณ์เพื่อขอทราบเหตุผลและพยายามต่อรองไม่ให้ถูกตัดงบประมาณถึง 80% คุณวิจารณ์ได้อธิบายให้ท่านทราบว่า ตัวคุณวิจารณ์มองว่าบริษัทกำลังอยู่ในภาวะที่ประสบกับปัญหาทางด้านการเงินและการดำเนินงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการเข้าไปซื้ออีกบริษัทหนึ่งเข้ามา ดังนั้นในการของบประมาณในครั้งนี้ ถ้าหน่วยงานใดจะของบประมาณที่มีมูลค่าสูง จะต้องมีหลักฐานหรือการคำนวณที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการลงทุนในเรื่องนั้นๆ จะก่อให้เกิดความคุ้มค่าและประโยชน์สำหรับบริษัท นอกจากนี้คุณวิจารณ์ยังมองว่าการส่งผู้บริหารไปเข้ารับการอบรมในลักษณะดังกล่าว ดูเหมือนจะเป็นสิทธิพิเศษให้กับผู้บริหารมากกว่าความจำเป็นที่บริษัทต้องการ ตัวคุณวิจารณ์เองก็ไม่ได้เข้ารับการอบรมในลักษณะดังกล่าวมาสิบกว่าปีแล้ว เนื่องจากเคยเข้ารับการอบรมครั้งหนึ่งแล้วพบว่าไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดนอกจากการเล่นเกม แล้วก็นั่งฟังบรรยายจากเหล่านักวิชาการที่ไม่มีความรู้จริงในธุรกิจ 

ถึงแม้ในคำของบประมาณท่านจะได้นำเสนอผลการวิเคราะห์อย่างละเอียดถึงข้อดีและข้อเสียของการจัดหลักสูตรการพัฒนาผู้บริหารขึ้นมาเอง แทนที่จะส่งไปอบรมตามสถาบันการศึกษาต่างๆ แต่ดูเหมือนคุณวิจารณ์จะยังไม่พอใจ เนื่องจากเป็นการวิเคราะห์เชิงคุณภาพเสียเป็นส่วนมาก คุณวิจารณ์ต้องการการวิเคราะห์ที่จะบอกได้ว่าการลงทุนในการพัฒนาผู้บริหารจะให้ผลตอบแทนต่อบริษัทเท่าใด (ROI of Executive Development) ก่อนจบการสนทนาคุณวิจารณ์ได้แจ้งอีกว่าจะไม่รับฟังการต่อรองใดๆ อีกนอกจากท่านจะสามารถนำเสนอให้เขาเห็นได้ว่าการลงทุนในการพัฒนาผู้บริหารระดับสูงในลักษณะที่ท่านต้องการจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างไรต่อผลประกอบการของบริษัท และยังบอกท่านอีกว่างบประมาณของท่านไม่ได้เป็นหน่วยงานเดียวที่ถูกตัด เนื่องจากบริษัทเผชิญกับยอดขายที่ลดลงและมีหนี้เพิ่มขึ้น ดังนั้นงบประมาณของทุกหน่วยจึงถูกตัดโดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 20% แต่ของท่านถูกตัดมากเนื่องจากเขาคิดว่าสิ่งที่ท่านขอจะช่วยทำให้ผลประกอบการของบริษัทดีขึ้นอย่างไร

เมื่อท่านออกจากห้องคุณวิจารณ์ท่านรู้สึกไม่เห็นด้วยอย่างแรง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ คุณวิจารณ์เองถือเป็นผู้บริหารที่มีความสามารถ ทุ่มเทให้กับการทำงาน แต่อาจจะยึดมั่นที่ตัวเลขมากเกินไปหน่อย และจากประวัติคุณวิจารณ์ท่านทราบว่าเขาเป็นคนที่ตรงไปตรงมา แต่ก็ลงในรายละเอียดและตัวเลขค่อนข้างมาก นอกจากนี้การรับการอบรมครั้งสุดท้ายของคุณวิจารณ์ก็กว่าสิบปีที่แล้ว อย่างไรก็ดีการตัดงบประมาณครั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณวิจารณ์ไม่สนใจต่อการพัฒนาบุคลากร เนื่องจากงบการพัฒนาบุคลากรในระดับกลางและระดับล่างถูกตัดเพียงแค่ 10% เท่านั้นเอง มีเพียงแค่งบพัฒนาผู้บริหารระดับสูงเท่านั้นที่ถูกตัดถึงร้อยละ 80% ตัวท่านเองยังเห็นถึงประโยชน์และความสำคัญของการจัดหลักสูตรพัฒนาผู้บริหารระดับสูง แต่ท่านเองก็ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ ในเมื่อการลงทุนทางด้านคนไม่สามารถที่จะวัดผลตอบแทนเป็นตัวเงินได้เหมือนการลงทุนในเครื่องจักร

คำถามสำคัญสำหรับกรณีศึกษานี้ก็คือถ้าท่านตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว ท่านจะทำอย่างไร? ท่านจะมีวิธีการหรือแนวทางอย่างไรในการอธิบายให้คุณวิจารณ์เห็นชอบในงบประมาณการพัฒนาผู้บริหาร ในเมื่อท่านเพียรพยายามแล้วเขาก็ไม่รับฟังเสียที หรือท่านผู้อ่านจะยอมแพ้ และไม่จัดการพัฒนาผู้บริหารระดับสูงในปีหน้า? ลองคิดกันดูเล่นๆ ก็ได้นะครับ หรือถ้าอยากจะแบ่งปันความคิดก็อีเมลมาให้ผมได้นะครับ แล้วผมอาจจะขอนำบางส่วนของคำตอบท่าน รวมทั้งความเห็นจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญมาลงในสัปดาห์หน้านะครับ